อาจริยบูชา “พันเอก (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน”

อาจริยบูชา  “พันเอก (พิเศษ) ทองคำ  ศรีโยธิน” [1]

ท่านอาจารย์ทองคำทองล้ำค่า[1]

—————

พระในบ้าน[1]

        ขออนุโมทนาท่านวิทยากรที่มีความเสียสละ ที่มาประคับประคองลูกโยคีให้ก้าวจากที่มืดไปพบแสงสว่าง ก้าวจากที่มีความทุกข์ไปพบที่เยือกเย็น ท่านเจ้าภาพที่บำรุงอาหารมาตลอด ๗ – ๘ วัน ผู้ปฏิบัติธรรมถ้ายุ่งกับการทำมาหากินก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อผู้ปฏิบัติ ท่านเหล่านี้คือ คุณอาทร-คุณยุพยง ติตติรานนท์, คุณย่าสมหมาย พรรณรักษา, คุณจักษณา เอี่ยมวสันต์ บริษัททันตสยามวิสาหกิจ ผู้สละทรัพย์เพื่อลูกโยคี เป็นมหากุศลอย่างยิ่ง

        วันหนึ่ง เมื่อ ๒๖๐๗ ปีมาแล้ว วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา เจ้าชายสิทธัตถะบรรพชาแล้ว ๖ ปี บำเพ็ญเพียรมาถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ มาแสวงหาที่ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตรัสรู้ในวันนี้ ตอนเช้าประทับอยู่ใต้ต้นไม้ ที่นางสุชาดาได้บนไว้ที่ต้นไม้ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต จะมาแก้บนในวันวิสาขบูชา คนใช้มาปัดกวาดโคนต้นไม้ เห็นเจ้าชายประทับสมาธิใต้ต้นไม้ บารมีเต็มเปี่ยม ผิวพรรณผ่องใส คนใช้ก็วิ่งไปบอกนายว่าเห็นเทวดานั่งใต้ต้นไม้ นางสุชาดาปรุงอาหารอย่างดีชื่อข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองมาน้อมถวาย พระองค์ก็ทรงรับ แล้วเสด็จไปใต้ต้นโพธิ์เพื่อเสวยพระกระยาหาร เสร็จแล้วอธิษฐานเสี่ยงทาย หากบรรลุเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำขึ้นไป ในที่สุดถาดก็จมไปถึงที่อยู่ของพญานาค เป็นอันว่าอาหารมื้อนั้นเปลี่ยนเจ้าชายให้กลายเป็นศาสดาเอกของโลก มื้อสำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้รับประทานอาหารของเจ้าภาพ ใครที่เป็นถาดเงินปฏิบัติไปจะเป็นถาดทองคำ เปลี่ยนเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เปลี่ยนดวงวิญญาณจากวิญญาณแมลงวันเป็นแมลงผึ้ง ตอมแต่ดอกไม้หอม วันวิสาขบูชาเป็นวันที่เปลี่ยนจากเจ้าชายเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนที่ปฏิบัติวิปัสสนา เป็นผู้มีบุญสูง มาบำเพ็ญเพียรในระยะเวลาสำคัญที่สุดของโลกคือวันวิสาขบูชา วันนี้เป็นวันที่ ๔ ของการปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ จากถาดเงินเป็นถาดทองคำ เปลี่ยนจากพลอยเป็นเพชร วันที่ ๖ ของการปฏิบัติจะมีเสียงแว่วบอกตัวเอง ไม่สูบบุหรี่มา ๖ วัน ทำไมจะกลับไปเป็นทาสอีก เปลี่ยนจากแมลงวันเป็นแมลงผึ้ง ลูกทุกคนที่ไม่ดีจะเปลี่ยนตัวเอง พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุขด้วยการบำเพ็ญสมาธิ ทำจิตใจให้เป็นสมาธิเป็นปัจจุบัน มีมารยาท เปลี่ยนชีวิตใหม่ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เป็นสาระอันประเสริฐ การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุขเหมือนการบ่มมะม่วง พอวันที่ ๔ จะรู้ได้ทันทีว่ามะม่วงสุกเพราะกลิ่นหอม ใครอดทนมากก็หอม ใครทำคนนั้นได้ เหมือนการทำนา อยู่ที่ความขยัน ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย การพัฒนาจิตทำให้มะม่วงเปลี่ยนสีผิวจากเขียวเป็นเหลือง เปลี่ยนรสจากเปรี้ยวเป็นหวาน วันแรกที่ลูกเข้ามาลูกยังดิบ กิริยามารยาทยังแข็งกระด้าง จิตใจก็ไม่เชื่อมั่น วิทยากรแนะนำลูกให้ทำช้าๆ มีสติ ตอนนี้จิตใจสงบกว่าวันแรก กริยาก็นุ่มนวล กราบก็สวย เสียงก็นุ่ม เทวดาก็ชื่นชมเลื่อมใส จิตใจของลูกก็เป็นมะม่วงที่สุก นุ่มนวล อ่อนโยน สุภาพ เป็นยอดคน เหมือนกับยอดไม้ ต้องอ่อน ยกตัวอย่าง คนที่คนรักกันทั้งเมืองขณะนี้คือสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ท่านทรงสุภาพนุ่มนวล คนรักทั้งเมือง ขณะนี้ลูกอ่อนโยนกว่าเดิม พัฒนาได้จริง ลูกปฏิบัติถึงวันนี้ลูกจะมีเมตตา รู้จักให้อภัย เปลี่ยนจากเปรี้ยวเป็นหวาน สมุห์บัญชีหญิงคนหนึ่งมารายงานว่าเธอเป็นคนไม่ยอมใคร ใครทำให้เจ็บใจต้องเอาคืน แต่ขณะนี้ใจเย็นลงแล้ว ให้อภัยได้แล้ว โยคีชายคนหนึ่งมีบัญชีแค้นในใจ ขณะนี้ได้ฉีกทิ้งแล้ว ให้อภัย แผ่เมตตาให้ จากวันแรกถึงวันที่ ๔ จะเปลี่ยนไป ผิวพรรณผ่องใส ใจเย็น ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว สงบ ใบหน้าสดใส จิตใจผ่องใส การพัฒนาจิตพิสูจน์ได้ทั้งหมด มะม่วงดิบไม่มีกลิ่นหอม วันนี้เริ่มมีกลิ่นหอม ใจหอม ความจริงในตัวเราไม่มีอะไรหอม แต่จะหอมได้อย่างไร ดอกมะลิเป็นราชินีดอกไม้หอม หอมเย็นชื่นใจ เขาจึงร้อยมาบูชาพระพุทธรูป ร้อยถวายในหลวง พระราชินี แก่นไม้ในป่า เช่น แก่นจันทน์ ยังหอมในตัว รากไม้ เช่น รากกฤษณา ก็หอมธรรมชาติ เอามารวมใส่พานตั้ง ยังหอม แต่คนเราหอมยิ่งกว่านั้น หอมคุณธรรมความดีออกมาจากใจ วันที่ ๓ ถึง ๔ มีใครจิตใจหอมฟุ้งไปถึงพ่อแม่บ้าง คิดถึงพ่อแม่เป็นพิเศษ ระลึกถึงว่าทำอย่างไรจึงจะชวนท่านมาปฏิบัติได้ นี้แหละกลิ่นหอมของเรา “สะตัญจะคัณโฑ ปฏิวาตะเมติ” กลิ่นหอมของคนดีจะฟุ้งยิ่งกว่ามะลิ แก่นจันทน์ รากกฤษณา กลิ่นหอมของคนดี ยอดกตัญญู หอมทั้งตามลมทั้งทวนลม หอมไกลได้เป็นพันกิโล ใครเป็นยอดกตัญญูดูกันที่หัวใจ ระลึกถึงผู้มีคุณ ตอบแทนผู้มีคุณ หอมฟุ้งมาจากใจ “คุณแม่หนาหนักเพี้ยงพสุธา” ทั้งหนาทั้งหนักยังกับแผ่นดิน ไม่มีแผ่นดินก็ไม่มีตึก แม่ใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด “อันมือไกวเปลไซร้แต่ไรมา คือหัตถาครองพิภพจบสากล” มือไกวเปลเล็กๆ นี้คือมือครองโลก โลกก็คือลูกที่นั่งอยู่นี้ แม่ปั้นมากับมือ

        อาจารย์เป็นลูกกำพร้า   พ่อตายตั้งแต่ ๔ ขวบ แม่อาจารย์มีความทุกข์โศก กลับไปหาพ่อตัวที่บ้าน พ่อมีภรรยาใหม่ ไม่แสดงความเมตตา บังเอิญได้พบแม่ชีท่านหนึ่ง อยู่ที่เขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ได้คุยกับแม่ชี ในที่สุดก็ตัดสินใจบวชเป็นแม่ชี เพราะแม่เป็นชีจึงกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดอาจารย์ตามไป เอาพี่ชายไปเป็นครูสอนที่โน่น แล้วมารับอาจารย์ พอเรียนจบประถมก็อยากจะเรียนมัธยม ไม่มีสิทธิเรียน ไม่มีค่าเล่าเรียน แม่บอกว่าลูกเรียนหนังสือพระ เรียนให้เก่งสักอย่างแล้วจะเป็นที่พึ่งของชีวิตได้ ก็เชื่อแม่จึงบวช และเรียนหนังสือ จนมีความรู้พอสมควร จบออกมาจากพระ โรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. รับให้เป็นอาจารย์สอนศาสนาในโรงเรียนนายร้อย ยศพันเอกพิเศษนี้เป็นยศอาจารย์สอนศาสนานักเรียนนายร้อย ยิงปืนไม่เป็น เพราะแม่ จึงมีสิทธิเป็นอาจารย์นักเรียนนายร้อย แม่เป็นอาจารย์คนแรก แม่เป็นพระพรหมของลูก สอนเราทั้งรักทั้งทะนุถนอม เป็นอาจารย์คนแรก อาจารย์จำได้แม่พูดว่า “ถัดจากหัวใจแม่ คือลูก” ชี้ที่หัวใจ ลูกอย่าเกเร เราลูกไม่มีพ่อ เพราะฉะนั้นอาจารย์ทำบาปน้อยที่สุด เกเรน้อยที่สุด เราไม่มีพ่อ หมั่นศึกษาเล่าเรียน โตขึ้นได้เลี้ยงแม่ พอเป็นอาจารย์นักเรียนนายร้อยมีเงินเดือน มียศ ที่แม่สอนจริงหมด มีความรู้ดี ความประพฤติดีพอสมควร คนให้ความยกย่องเพราะแม่ปั้น ใครที่กำแหงกับแม่เลิกกำแหง อย่านึกว่าตัวเก่ง เพราะแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ลูกกราบ ลูกบำรุงเลี้ยง ลูกจะทะนุถนอม จะปฏิบัติดั่งพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นลูกจึงมีแต่ความรุ่งเรือง ลาภยศ สรรเสริญจะมาเป็นแถว ค้าขายเจริญ ผู้ปั้นเราคือแม่ คนที่ ๒ คือ คุณบิดรดุจอากาศกว้าง คุณพ่อเหมือนอากาศออกซิเจน โลกนี้แผ่นดินนี้ ถ้าไม่มีออกซิเจนก็อยู่ไม่ได้ ออกซิเจนทำให้มีชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าทะเลาะกับพ่อ ไม่มีอากาศออกซิเจน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีชีวิต ไม่มีเรา พ่อมีพระคุณยิ่งใหญ่ บางคนทะเลาะกับพ่อ  เพราะพ่อมีแม่ใหม่ปล่อยให้เราอยู่กับแม่ พ่อทิ้งเรา เราก็เจ็บใจแทนแม่ ไม่นับถือท่าน มีพระองค์หนึ่งเรียนหนังสือพระจนได้เป็นเปรียญ ๙ ประโยค วันนั้นไปรับพัด ขณะที่รอก็ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ มีผลไม้หล่นมาตรงหน้า เกิดแวบขึ้นมา ผลไม้นี้มีแม่เป็นต้นไม้จึงเกิดเป็นผลขึ้นมา และเรามาจากไหน ต้นของเราก็ต้องเท่ากับแม่ชีซิ แวบขึ้นมา ถ้าไม่มีพ่อ เราก็ไม่ได้เรียนสำเร็จมาถึงวันนี้ ท่านต้องแยกไปเพราะกฎแห่งกรรมทำให้แยกกันได้ กฎแห่งกรรมทำให้แต่งงานกัน เพราะฉะนั้นพระคุณเอาไว้ต่างหาก เราเป็นหนี้ใครเราต้องจัดการใช้หนี้ ไม่ใช้หนี้ไม่ใช่คนดี คนดีที่โลกต้องการคือยอดกตัญญู เพราะฉะนั้น คนที่สร้างความสะเทือนใจให้กับพ่อแม่ ต้องล้างใจวันนี้ ตอบแทนบุญคุณท่านตามเหมาะตามควร พระคุณยิ่งใหญ่คือท่านเลี้ยงเรามา รักเราจริง ไม่มีใครรักเราเท่ากับแม่กับพ่อ “อันชนกชนนีนี้รักเจ้า เทียบเท่าชีวาก็ว่าได้” พ่อแม่รักลูกเท่าชีวิต

        ตอนอาจารย์เป็นพันตรี ไปสอนที่โคราช เขามีรถจิ๊บจัดให้ อาจารย์สั่งคนขับรถออกนอกเทศบาลไปอำเภอปักธงชัย ๔ โมงเย็น คนเอาวัวมาเลี้ยงใกล้ถนน รถวิ่งไป  พอดีกับวัวข้ามถนน รถผ่านไปไม่ได้ มีแม่วัวตัวหนึ่งไม่ยอมเดิน พอเข้าไปใกล้เห็นลูกวัวยืนพิงขาแม่อยู่ มันคลอดลูกตอนกินหญ้า แม่วัวหันมาค้อนอาจารย์ตาโตๆ นาทีนั้นอาจารย์สะเทือนใจ พ่อแม่รักลูกเท่าชีวิต ตอนนี้เห็นจริง แม่วัวรักลูกกว่าชีวิต แม่อาจารย์รักอาจารย์ยิ่งกว่าชีวิต พอรถจอดสนิทแล้ว แม่มันชวนลูกค่อยๆ เดิน ที่มันไม่กระโดด เพราะมันรู้ว่าลูกกระโดดตามไม่ได้ รถต้องทับตายแน่ แม่รักลูกยิ่งชีวิต วัวตัวนี้สละชีวิตช่วยลูก ลูกวัวตัวนี้ตอบแทนแม่อย่างไร ลูกวัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใจถึงธรรมะได้น้อยมาก ลูกวัวไม่ตอบแทนบุญคุณ ลูกวัวสู้ลูกคนไม่ได้ แต่ไม่แน่ รับรองว่าวัวจะไม่เถียงแม่ ไม่ทำให้แม่น้ำตาไหล แต่ลูกคนทำให้แม่ร้องไห้กี่ครั้ง กำแหงว่าตัวใหญ่ เถียงแม่ ตวาดแม่ แสดงว่าสู้ลูกวัวไม่ได้ คนอกตัญญูสู้ลูกวัวไม่ได้ วันนี้ลูกจิตใจแจ่มใส รู้สำนึก นี้แหละปัญญาเกิดแล้ว พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข น้ำตาซึม เห็นข้อบกพร่องตัวเอง เห็นความผิดของตัว คนกำลังเป็นบัณฑิต ปัญญาเกิด จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียดาย คนกำลังรับปริญญาจากพระพุทธเจ้า น้ำตาจะซึม เป็นน้ำตาของปัญญา เป็นบัณฑิตเปลี่ยนแปลงได้จากการปฏิบัตินี้ยอด ผู้จัดการธนาคารปฏิบัติธรรมแล้วมาบอกว่า เตี่ยอยู่กับผม ผมก็ภูมิใจว่าผมเป็นคนกตัญญู แต่ปฏิบัติธรรมแล้วรู้ตัว ตกลงผมยังใช้ไม่ได้ เลี้ยงเตี่ยก็ได้บุญตอบแทนค่าอาหาร แต่ยังเลวอยู่ เตี่ยผมแก่ ตอนเช้าผมจะกินข้าว กินขนมปัง กาแฟ กับลูกกับเมีย ส่วนเตี่ยให้คนใช้ดูแล ผมไม่ดูแล แต่งตัวเสร็จผมก็เดินผ่าน เตี่ยก็นั่งเงียบๆ เหงาๆ คนเดียว ผมก็เดินผ่านไปทำงาน      ตอนเย็นกลับมาก็เดินผ่านเตี่ยไปคุยกับเมียกับลูก แล้วก็ไปเล่นกับไอ้ด่าง ตกลงผมมีเวลาให้ไอ้ด่าง แต่ไม่มีเวลาให้เตี่ย ผมเลวมาก ผู้จัดการธนาคารมีความรู้สูง ได้ปริญญาแต่ไม่ส่องกระจกดูเงาตัวเอง ไอ้ด่างมีอะไรก็เล่นด้วยพูดด้วย กับเตี่ยไม่พูดสักคำ ผมมาประชุมที่กรุงเทพฯ โทรศัพท์กลับบ้าน เตี่ยเป็นคนรับสาย ผมก็ขอพูดกับติ๋ม ไม่พูดกับเตี่ย น้ำใจแห้งขนาดนี้ ไม่รู้บุญคุณ ไม่ตอบแทนบุญคุณ ผมเลวมาก ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ต้องมีเวลาให้เตี่ย นางพยาบาลก็ยังดูคนไข้อย่างประคับประคอง นี่เตี่ยเป็นพระอรหันต์ ไม่ดูแล ลูกทุกคนเอาไปคิด พ่อแม่เป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลูก ลูกอย่างนั้นลูกอย่างนี้ เราโตขึ้นแล้วกำแหง ไม่ต้องโตมาก ขนาดเรียนมัธยม แม่สอนอย่างนั้นอย่างนี้ รำคาญจะตาย ไม่ต้องพูดมาก เบื่อ บางทีก็กระทืบเท้า แทนที่จะขอบคุณ ส่งไปเรียนหนังสือก็ลืมตัวว่าฉันเรียนมัธยม  แม่เรียนประถม ๔ แม่สอนเพราะลูก เป็นลูกของแม่จึงสอน ไม่ใช่ลูกแม่ แม่ไม่สอน มีความรักยังไม่สะเทือน ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้เพื่อน มีอะไรก็เพื่อน เอาเวลาให้เพื่อน ไม่มีเวลาให้แม่ให้พ่อ ลูกทุกคนไปพิจารณาตัดสินตัวเอง ตอนนี้ลูกเห็นตัวเองยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ลูกเห็นดินหม้อเปื้อนหน้า ต้องมีใครบอกไหม ลูกเห็นก็เข้าห้องน้ำล้างเอง เห็นความผิดของตัวเอง ปัญญาเกิดจากการภาวนา แม่บางคนมากราบขอบคุณอาจารย์ ส่งลูกมาปฏิบัติ บอกว่าดิฉันได้ลูกคนใหม่ เปลี่ยนเป็นคนละคน เปลี่ยนจากตะกั่วเป็นเงิน เปลี่ยนจากเงินเป็นทองคำ พระพุทธเจ้าเปลี่ยนเขาแล้ว       เห็นหรือยัง มะม่วงหอม

        คราวนี้ ไปดูฝ่ายอกตัญญู หมดความเจริญ ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน ไม่เห็นพระคุณของพ่อแม่ ตรงกันข้ามกับฝ่ายมีคุณธรรม อีกรายเป็นนักธุรกิจ กู้เงินมาตั้งโรงงานขายไฟฟ้า ขายดิบขายดี วันหนึ่งไล่เตี่ยอายุ ๗๐ ปีออกจากบ้าน หอบผ้าไปขออาศัยคนรู้จักอยู่ ซ้ำใจ ไม่นานก็ตาย ทำบุญกับพระอรหันต์ชีวิตเจริญ ทำบาปกับพระอรหันต์ตกนรกหมกไหม้ ย่อยยับภายใน ๑ ปี ตอนนั้นเงินบาทลอยตัว ยุคพลเอกเปรม บริษัทถูกยึด หมดตัว บาปที่ทำกับผู้มีพระคุณโดยเฉพาะกับพ่อแม่ นอกจากโรงงานถูกยึด ตัวเอง      ยังเป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้าย พูดเสียงก็แหบๆ แต่ก่อนเคยเสียงดัง ในที่สุดยิงตัวตาย เพราะฉะนั้นลูกทุกคนจัดการกับตัวเองให้เหมาะให้ควร

        คราวนี้มาดูคนหอมยิ่งกว่าดอกมะลิ นักเรียนนายร้อย จ.ป.ร. ชั้นปีที่ ๑         จะคัดเลือกคนที่นิสัยดี วินัยดี ขยันเรียนดี ผลการเรียนดี จะส่งคนยอดดีไปเรียนโรงเรียนนายร้อยฝรั่งเศส ไปเรียนแข่งกับนักเรียนฝรั่งเศส ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้างไม่ได้ ต้องขยัน         วันเสาร์อาทิตย์ไม่ได้หยุด ไม่ได้เที่ยว ต้องปรับตัว ต้องขยัน จะกินข้าวต้องไปที่โรงเลี้ยง   มีแต่อาหารฝรั่ง อยากกินอาหารไทย ก็ไปที่บ้านท่านทูตทหาร ไปช่วยล้างชาม           ขูดมะพร้าว พออาหารเสร็จก็กินร่วมกัน เป็นเด็กขยัน ช่วยงานทุกอย่าง พอครบ ๒ ปี ท่านทูตจะกลับกรุงเทพฯ นักเรียนนายร้อยคนนี้ก็ไปหาท่านทูตขอฝากเงินที่เก็บไว้ ๔-๕ พันบาท มาให้พ่อ พ่อเป็นคนขายถ่านในคลอง เช่าเรือไปขายถ่านได้เงินมาเลี้ยงแม่      กับน้อง “ผมขอส่งเงินให้พ่อ เพื่อซื้อเรือขายถ่านจะได้ไม่ต้องไปเช่าเรือ จะได้มีเงินเหลือเก็บ” ท่านทูตได้ฟังก็ตะลึง ไม่นึกว่าจะเป็นยอดกตัญญูขนาดนี้ ไม่ต้องรอให้สำเร็จแล้วค่อยมาตอบแทนบุญคุณ หอมยิ่งกว่ามะลิ พอสำเร็จกลับมารับราชการเจริญรุ่งเรือง      ได้เลื่อนยศขึ้นไป ขณะนี้เป็นพลเอก

        เป็นอันว่าถ้าการกตัญญูชีวิตราบรื่นรุ่งเรือง ถ้าอกตัญญูเนรคุณ เหมือนตาลยอดด้วน หนอนเจาะยืนตาย ต่อให้เป็นรัฐมนตรีก็ยืนตาย จะพาไปพบยอดกตัญญูอีกคนหนึ่ง เพื่อให้ลูกประทับใจ ในหัวใจของพ่อแม่มีแต่เสียสละให้ลูกมากมาย ชีวิตก็ไม่เสียดาย ทรัพย์สมบัติก็ไม่เสียดาย มีอาจารย์ใหญ่โรงเรียนอนุบาลคนหนึ่ง มีคนรักกันทั้งตลาด เพราะเป็นคนใจบุญ เล่าให้ฟังว่า ตอนดิฉันเป็นนักเรียน ดิฉันจน พอโรงเรียนจะเก็บค่าเทอมก็ไปหาแม่ แม่ถอดสร้อยจากคอออกให้เขาไปตัดขายเท่ากับค่าเทอม สละได้ ทำเพื่อลูกได้ พ่อแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด ลูกที่ตอบแทนก็มี ไม่ตอบแทนก็มี อยู่ที่จิตใจใครได้สัมผัสธรรมะมากกว่ากัน ที่บ้านพักคนชราบางแค มีคนแก่ที่มีลูกทั้งนั้น แต่ลูกไม่ดูแล มีบ้างพอถึงวันสงกรานต์ก็ซื้อขนม ข้าวของมาให้ พาลูกพาเมียมาเยี่ยม ๓๖๕ วัน ในหนึ่งปีมาหาสักครั้งก็ชื่นใจ จิตใจแจ่มใส และในจำนวนลูกที่ไม่มา แม่ก็นั่งแห้งเหี่ยว

        เพราะฉะนั้น ความหวังของพ่อแม่ มี ๓ ความหวัง “ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้” ตอนยังไม่แก่ทำขนมขายส่งลูกเรียน ตัวเองเหนื่อยไม่ว่า พอแก่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็หวังพึ่งลูก “ยามเจ็บไข้หวังเจ้าเฝ้ารักษา” แก่แล้วมือเท้าทำงานไม่ได้หวังให้ลูกช่วยประคอง เหมือนน้ำในลำธาร มีน้ำในลำธารที่ไหนไหลขึ้นที่สูงบ้าง จิตใจคนที่ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ซึ้งในความกตัญญูๆ จะไหลไปหมด จะไหลกลับไปหาพ่อแม่นั้นยาก มีคุณน้าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าลูกดิฉันแต่งงานออกไป ดิฉันแบ่งที่ดินให้ปลูกบ้าน นานๆ จะไปอยู่ด้วย วันหนึ่งดิฉันไปค้างที่บ้านลูกสาว กำลังทานข้าว ลูกสาวเรามีอะไรอร่อยก็ตักให้สามี แม่ไม่ตักให้ แปลว่ากระแสน้ำไหลไปหาแฟนหาลูกหมด ไม่ได้ไหลมาหาแม่ ส่วนมรดกลูกสาวบอกว่าถ้าแบ่งมรดกเขาจะต้องได้เท่ากับคนอื่น แต่มีอะไรอร่อยก็ตักให้ผัวหมด จะตักให้ทั้ง ๒ คน ก็จะได้บุญเท่ากัน ส่วนคนที่มีคุณธรรมพิเศษ ส่งไปเลี้ยงต้นลำธารได้ น้ำไหลลงต่ำก็สร้างเครื่องสูบน้ำ มีสายยางต่อ เลี้ยงต้นลำธารได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ลูกมีเครื่องสูบส่งไปต้นลำธารได้ ร้อยคนจะมีสักกี่คนที่ทำได้ การปฏิบัติธรรมนี้ยอดที่ทำให้เราเห็น ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้ ใครเป็นมือเป็นเท้าให้พ่อแม่ ได้ปฏิบัติรับใช้จนพ่อแม่สิ้นลมในอ้อมแขนถือว่ายอด

        ในหลวงของเราเป็นยอดสุด ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณธรรมสูงยิ่งกว่าฟ้า ใหญ่ยิ่งกว่าพสุธา ลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร เย็นยิ่งกว่าน้ำในคงคา ในหลวงองค์นี้ยอดกตัญญู เราเกิดมาได้พบผู้มีบุญ ยอดกตัญญูเป็นสิริมงคลกับชีวิต ทรงรับใช้ประเทศชาติ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ตลอดกว่า ๕๐ ปี       ทรงช่วยเหลือประชาชน ทั้งภาคเหนือ, กลาง, อีสาน, ใต้ ทรงสร้างอ่างเก็บน้ำมากมาย ทรงส่งเสริมอาชีพ ขณะนี้โลกได้ตัดสินให้ว่ากษัตริย์ไทยยอดที่สุด มีคุณธรรม ช่วยเหลือประชาชน เสียสละ

        “ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้” ทุกคนคงเห็นภาพในหลวงทรงประคองสมเด็จย่า เสด็จพระราชดำเนินท่ามกลางคนเฝ้าจำนวนมาก เป็นภาพที่ประทับใจคนทั้งประเทศ อาจารย์ทราบจากเลขานุการของสมเด็จย่า ท่านเล่าว่าประมาณ ๑ ปี ก่อนสมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ ในหลวงทรงตระหนักว่า สมเด็จย่าทรงมีพระชนมายุ ๙๔ แล้ว ต้องรีบใช้หนี้ ตอนเย็นในหลวงเสด็จวังสระปทุม ไปเสวยพระกระยาหารกับสมเด็จย่า สัปดาห์หนึ่ง ๕ วัน ทรงตักอาหารอร่อยถวายสมเด็จย่า ทรงชี้ชวนอันนี้อร่อย อันนั้นอย่างนั้นอันนี้อย่างนี้ ทรงป้อนพระราชชนนีของท่านเหมือนกับแม่ป้อนเราตอนเด็กๆ อีกอย่างขณะที่เสวย ในหลวงทรงรับสั่งถามสมเด็จย่าว่า ตอนในหลวงทรงพระเยาว์ สมเด็จย่าเคยทรงสอนอะไรที่สำคัญบ้าง ทรงอยากฟัง ซึ่งสมเด็จย่าก็จะทรงเล่าให้ฟัง “ยามเจ็บไข้ หวังเจ้าเฝ้ารักษา” เมื่อสมเด็จย่าทรงพระประชวร เข้าโรงพยาบาลศิริราช ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมทุกคืน ประมาณตี ๒ ถึง ๔ เวลาในหลวงกับสมเด็จย่าบังเอิญประชวรพร้อมๆ กัน อยู่โรงพยาบาลเดียวกัน สมเด็จย่าประทับซีกหนึ่ง ในหลวงประทับอีกซีกหนึ่ง วันหนึ่งในหลวงเสด็จออกมานอกห้อง ทอดพระเนตรเห็นพยาบาลเข็นรถสมเด็จย่าผ่าน ในหลวงเสด็จตรงมาที่รถสมเด็จย่าแล้วทรงเข็นรถแทนพยาบาล สมเด็จย่าก็ทรงกอดในหลวง

        “ยามใกล้จะตายวายชีวา หวังลูกช่วยปิดตาเมื่อสิ้นใจ” ขณะที่สมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ ในหลวงไม่ได้ประทับใกล้ พอทรงทราบก็รีบเสด็จไปยังห้องสมเด็จย่าซึ่งนอนสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลงทรงเข้าไปคุกเข่ากราบลงที่พระอุระของสมเด็จย่า พระพักตร์ในหลวงทรงซบลงกับหัวใจของแม่ ทรงระลึกถึงความเสียสละของแม่ น้ำตาหลั่งออกมา เป็นภาพประทับใจยิ่ง หอมหัวใจของคุณแม่ หัวใจใครก็หอมสู้หัวใจของคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ ในหลวงทรงหวีพระเกศาให้สมเด็จย่าด้วย หวีให้สวยที่สุดในโลก ไม่รังเกียจ ไม่กลัว แต่งตัวให้แม่ อาจารย์ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสมเด็จกรมพระยาดำรง     ราชานุภาพซึ่งเป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ ๔ ตอนพระชนมายุได้ ๗ พรรษา รัชกาลที่ ๔ สวรรคต เจ้าจอมมารดาชุ่มต้องออกจากวัง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอยู่กับแม่ เป็นลูกยอดกตัญญู เรียนหนังสือเก่ง ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๐ ปี กรมพระยาดำรงฯ เสวยเช้าแล้ว พอรถประจำตำแหน่งมารับก็เดินทางไปหาแม่ที่เรือนอีกหลัง ขึ้นไปกราบก่อนไปทำงาน ถ้าแม่นั่งที่เก้าอี้ ก็กราบที่เท้า หน้าผากติดหลังเท้าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หากแม่นั่งพับเพียบก็กราบที่ตัก เพราะเท้าซ้อนที่ตัก ก่อนนอน ๓ ทุ่มก็ลงจากวังมากราบแม่แล้วค่อยไปนอน เราทำสู้ท่านไม่ได้ กลับไปต้องไปกราบเท้าใช้หนี้ เคารพผู้มีพระคุณต้องสิ่งสูงสุดไปสัมผัสกับสิ่งที่ต่ำสุดของผู้มีพระคุณ คือหน้าผากกับเท้าของผู้มีพระคุณ ใครทำได้เป็นสิริมงคลชีวิต ก่อนนอนก็กราบ หาคนเทียบไม่ได้อีกแล้ว อาจารย์เวลาเงินเดือนออกก็เอาเงินเดือนไปให้แม่ที่วัด เพราะแม่เป็นแม่ชี ชวนลูกกับเมียไปด้วย ตื่นเช้าเดินผ่านห้องก็เอาหม้อปัสสาวะมาเท ขณะที่เดินลงบันไดรู้สึกตัวเองเบา ภูมิใจว่าเราเป็นลูกกตัญญู ปกติสวดมนต์จะกราบ ๕ ครั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มารดาบิดา ครูบาอาจารย์ กราบผู้ที่ควรกราบควรเคารพควรบูชา วันหนึ่งแม่มาพักด้วย ก็สวดมนต์ก่อนนอน พอกราบครั้งที่ ๔ หมอนมันหัวเราะ แม่มาอยู่ด้วยทำไมไม่ไปกราบที่ตักเอง ก็ผลัดกับหมอนเอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน พอถึงพรุ่งนี้ก่อนนอนก็ไปคุยกับแม่เรื่องธรรมะ พอได้เวลาพักผ่อนอาจารย์ก็ยกมือเตรียมจะกราบ มันรู้สึกจั๊กกะเดียมมือ ตกลงวันนั้นกราบไม่สำเร็จ “ทำดีเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา” เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ต้องเอาใหม่ทำอย่างไรถึงจะกราบแม่ได้ อาจารย์มีลูกสาว กำลังเรียนอยู่อนุบาลก็บอกกับลูกว่าถ้าอยากเรียนเก่งให้ไปนวดคุณย่า พอได้เวลานานพอสมควรก็บอกลูกสาวให้มากราบคุณย่าพร้อมกัน คุณย่าก็ยิ้มแก้มปริ สวยที่สุด คงให้คะแนนสมกับเป็นอนุศาสนาจารย์สอนคนทั่วไป แต่ที่ไหนได้ต้องอาศัยบารมีลูกกราบแม่แก้เขิน           ประเด็นสุดท้าย ขอเล่าเรื่องอาจารย์ของอาจารย์ ขณะนี้ท่านเสียแล้ว แม่ของท่านตาบอดทั้ง ๒ ข้าง ผู้มีพระคุณต้องเป็นพระประธานของบ้าน ต้องให้แม่อยู่ที่สง่า ไม่มีท่านไม่มีเรา เพราะมีท่านจึงมีวันนี้ ท่านอาจารย์บอกว่าท่านให้เงินเดือนแม่เดือนละ ๓๐๐ บาท วันนี้ท่านกำลังคิดจะตัดรายจ่ายภายในบ้าน อาจารย์บอกให้ตัดเงินที่ให้แม่ได้ไหม ท่านบอกว่า ปีหนึ่งเสื้อผ้า ๓ ชุดให้ร่างกาย อาหารให้ทาน เงิน ๓๐๐ บาท เพื่อเลี้ยงหัวใจแม่ เคยไหมที่เราไม่มีเงินในกระเป๋า หัวใจเราเหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้เหี่ยว ตอนไหนเงินเดือนออกหัวใจบาน วันไหนเงินเดือนออกก็คลานเข้าไปหาคุณแม่เอาเงินไปให้ คุณแม่ก็ให้ศีลให้พรเอาเก็บไว้ใต้หมอน เมื่อตอนที่หลานชายเกิดก็รับขวัญด้วยสร้อยทอง เวลามีคนมาเรี่ยไรบอกบุญให้สร้างโบสถ์ ที่นครนายก คุณแม่ก็ทำบุญด้วยเงินที่เราให้ ทำให้แม่ได้ทำบุญไต่บันใดขึ้นสวรรค์ เพราะฉะนั้นใครเงินเดือนขึ้นก็ขึ้นให้แม่ด้วย หลังๆ ท่านไม่ค่อยกล้าไปต่างจังหวัดเพราะแม่แก่มาก ตอนกลางคืนต้องลงมาดูประมาณตี ๒ ชงโอวัลตินให้ดื่ม ตอนนี้โยคีมีจิตที่เอิบอิ่มประทับใจในพระคุณแม่ หลวงพ่อวัดอัมพวันขึ้นเทศน์ให้ทุกคนฟังว่า “วันเกิดของเราคือวันตายของแม่” ให้จำไว้ทุกคน พอวันเกิดของเราก็ซื้อขนม  พวงมาลัยไปกราบแม่ ถ้าเก่งจริงต้องล้างเท้าให้ด้วย คนนั้นจึงเจริญรุ่งเรือง เพราะฉะนั้นโอกาสนี้ลูกนั่งสมาธิกำหนดปวดหนอๆ ให้คิดว่าแม่คลอดเราเจ็บกว่านี้ ปวดกว่านี้ วันนี้เราจะบูชาพระคุณแม่ ของดีอยู่เลยตายไปนิดเดียว ขอให้ลูกก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมสูงยิ่งๆ ขึ้นไป ประสบความสำเร็จ รู้คุณธรรม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ปรารถนาสิ่งใดจงสมประสงค์ทุกประการ

สามารถรับชมการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ได้ที่ QR.code


[1]ชาญชัย รวิรังสิมา ประพันธ์ในนาม ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์                                      

[1] หก.กอศจ.ลำดับที่ ๘ (พ.ศ.๒๕๑๖ – ๒๕๒๑)

[1] พ.อ. ทองคำ  ศรีโยธิน บรรยายเมื่อวันวิสาขบูชา ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓ หลักสูตรพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ๑๔-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓.