อาจริยพจน์ พันเอก (พิเศษ) สัมฤทธิ์ คมขำ

อาจริยพจน์ พันเอก (พิเศษ) สัมฤทธิ์  คมขำ[1]

“ความเป็นอนุศาสนาจารย์”


        “ทุกหน่วยราชการ หรือแม้องค์กรเอกชน กำหนดให้มีกฎเกณฑ์และมีวัฒนธรรมการปฏิบัติเป็นของตนเอง เพื่อความดำรงอยู่ดีและความพัฒนายิ่งขึ้นของหน่วย/องค์กร และบุคลากร        

        กองทัพเป็นหน่วยราชการใหญ่  จึงมีกฎเกณฑ์และวัฒนธรรมการปฏิบัติเป็นของตนเอง  เฉพาะกองทัพบก  ซึ่งมีกำลังพลมากกว่ากองทัพอื่นๆ  จึงมีระเบียบ  คำสั่ง เป็นต้นไว้อย่างเป็นมาตรฐาน  และเป็นวัฒนธรรมของกองทัพและของกำลังพลอย่างชัดเจน      

        อนุศาสนาจารย์กองทัพบก  มีหน้าที่ปฏิบัติการหรืออำนวยการเกี่ยวกับการศาสนา  และให้คำแนะนำแก่ผู้บังคับบัญชาในปัญหาทั้งปวงเกี่ยวกับศาสนาและขวัญ รวมทั้งการปฏิบัติที่เกี่ยวกับศาสนาและขวัญ       

        เนื่องจากมีภารกิจหน้าที่ดังกล่าว  ที่ประชุมอนุศาสนาจารย์จึงมีมติให้มีวินัย (จรรยาบรรณ) ของอนุศาสนาจารย์ด้วยการออกเป็นประกาศคณะอนุศาสนาจารย์ (ฉบับที่ 1) ไว้ตั้งแต่ 17 เมษายน 2501 เป็นต้นมา โดยได้รวบรวมข้อปฏิบัติของอนุศาสนาจารย์ตั้งแต่ปฐมอนุศาสนาจารย์  ได้ถือปฏิบัติสืบกันมานั่นเอง  มาเป็นวินัยของอนุศาสนาจารย์ จึงเท่ากับว่าอนุศาสนาจารย์มีวินัย 2 ชั้น คือ

        1. วินัยทหารในฐานะอนุศาสนาจารย์เป็นทหาร 

        2. วินัยของอนุศาสนาจารย์ในฐานะเป็นอนุศาสนาจารย์       

        การเป็นอนุศาสนาจารย์  เมื่อผ่านการสอบคัดเลือกคือสอบได้  ก็ได้รับการแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร ตำแหน่งอนุศาสนาจารย์  ซึ่งกองทัพก็ออกคำสั่งแต่งตั้งให้ตามขั้นตอน  ไม่มีสิ่งใดยุ่งยาก  แต่ความเป็นอนุศาสนาจารย์นั้น  อนุศาสนาจารย์ล้วนแต่ถือกันว่าไม่มีใครแต่งตั้งให้เป็นได้  ฉะนั้นถึงจะมีตำแหน่งเป็นอนุศาสนาจารย์แล้ว  ความเป็นอนุศาสนาจารย์ก็อาจจะยังไม่เกิดขึ้น 

        อนุศาสนาจารย์แต่ละนายจึงฝึกอบรมตนเองเพิ่มเติม  ให้มีฉันทะและศรัทธาในตำแหน่งหน้าที่  มีจิตวิญญาณ รักและชอบในภารกิจของตนจริง  และมีความรู้สึกเป็นสุขใจเมื่อได้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่ตน  อันเป็นภารกิจหน้าที่ที่เป็นบุญกุศลและเสียสละ  มีมโนธรรมสำนึกที่จะอยู่ในขอบเขตของตน  เพื่อจะได้เข้าถึงความเป็นอนุศาสนาจารย์        ที่แท้จริง  จึงเท่ากับว่าการเป็นอนุศาสนาจารย์เป็นได้ด้วย ภูมิรู้   ที่สอบผ่านเข้ามาได้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น  แต่ความเป็นอนุศาสนาจารย์ เป็นได้ด้วย  ภูมิธรรม  ไม่มีใครออกคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นได้  อนุศาสนาจารย์ผู้นั้นเท่านั้นที่จะแต่งตั้งให้ตนมีความเป็นอนุศาสนาจารย์ได้เอง       

        อนึ่งอนุศาสนาจารย์เป็นผู้ได้บวชเรียนศึกษามาทางด้านพระพุทธศาสนาโดยตรง  จึงล้วนแต่เป็นผู้มีสำนึกอยู่เสมอว่า  ตนเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่กำลังพลทุกประเภทในกองทัพ  จึงย่อมจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนกิจการของคณะสงฆ์ด้วยความเต็มใจ มีศรัทธามั่นคง  และสนับสนุนส่งเสริมพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสุปฏิบัติสม่ำเสมอ       

        สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ  ผู้เข้ามาเป็นอนุศาสนาจารย์เริ่มแรกในกองทัพ  ยังไม่คุ้นเคยกับระบบราชการและการเป็นข้าราชการ  ไม่ได้ฝึกอบรมวิชาทหารโดยตรงมาตามขั้นตอน  หากแต่เป็นนายทหารสัญญาบัตรในทันที เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุศาสนาจารย์  จึงย่อมสมควรที่จะอ่านศึกษาหนังสือ/เอกสาร 5 ประการต่อไปนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเข้ารับราชการ คือ   

        1. คู่มือการอนุศาสนาจารย์กองทัพบก 

        2. หลักนิยมอนุศาสนาจารย์ทหารบก (ซึ่งมีอยู่ในเล่มนี้แล้ว)    

        3. หลักปฏิบัติราชการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]     

        4. มรรยาททหาร[3] 

        5. ระเบียบงานสารบรรณของสำนักนายกรัฐมนตรี และระเบียบงานสารบรรณของกองทัพบก          

        ซึ่งตามข้อ 3,4 นี้ แม้นายทหารชั้นประทวน ที่สอบได้จะได้รับยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร  ยังได้รับการอบรมจาก ยศ.ทบ.เป็นส่วนรวม ฉะนั้น อนุศาสนาจารย์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตรเป็นครั้งแรก จึงควรจะได้อ่าน ศึกษา ปฏิบัติตามที่เกี่ยวข้อง และนำไปประยุกต์ใช้ในหน้าที่การบรรยายอบรมทางศีลธรรมวัฒนธรรมต่อไป


[1] ผอ.กอศจ. ลำดับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙ – ๒๕๔๑)

[2]พระราชนิพนธ์เรื่องหลักราชการ 10 ประการเมื่อ 20 ก.พ. 2457 ณ พระราชวังสนามจันทร์ : ผู้เขียนได้มอบให้ กอศจ.ยศ.ทบ. เมื่อ ๑ พ.ค. ๖๒

[3] พระนิพนธ์ของ จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภูวนารถ : ผู้เขียนได้มอบให้ กอศจ.ยศ.ทบ. เมื่อ ๑ พ.ค. ๖๒