อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยในเซาท์ซูดาน

อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยในเซาท์ซูดาน

The Chaplain of Thai Royal Army in South Sudan

พ.ต.สุชาติ  สมมาตร (Major Suchat  Sommart)[1]

ปฐมบท

        นับเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของชีวิตการรับราชการที่ได้ปฏิบัติภารกิจระดับนานาชาติร่วมกับ UN ในการนำความรู้ ความสามารถมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติภารกิจภาคสนามของประเทศเซาท์ซูดาน  อันเป็นประเทศน้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาในลำดับที่ ๑๙๓ ของโลก

        โอกาสในการปฏิบัติภารกิจร่วมกับ UN นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของชีวิตการรับราชการทหารไทย ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งกับการได้ร่วมการปฏิบัติภารกิจ  ในห้วงปี ๒๕๖๑  มีการฝึกร่วมผสมระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกากับกองทัพไทย ในนามการฝึกร่วม Cobra Gold 2018 คณะอนุศาสนาจารย์ไทย ได้ส่งกำลังพลเข้าร่วมการฝึกฯ จำนวน ๘ นาย ประกอบด้วย :-

        ๑. พ.อ.อัครินทร์  กำใจบุญ         หัวหน้าแผนกอบรม กองอนุศาสนาจารย์       กรมยุทธศึกษาทหารบก

        ๒. พ.ท.บวรวิทย์  ไชยศิลป์ หัวหน้าแผนกกำลังผล  กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก

            ๓. ร.อ.สุชาติ   สมมาตร   อนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก กองทัพบก

        ๔. ร.อ.วิศิษย์ศักดิ์  ภูกิ่งเพชร  อนุศาสนาจารย์  มณฑลทหารบกที่ ๒๗

        ๕. น.อ.บุญมี  กาโน  รองผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ

        ๖. น.ท.เลิศชลิศ  ลิ้มสุคนธ์ทิพย์  อนุศาสนาจารย์ กองพลนาวิกโยธิน กองทัพเรือ

        ๗. ร.ท.สมเดช  สวาสนอก อนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ

        ๘. ร.อ.สมพงษ์  แก้วใจ  อนุศาสนาจารย์  กรมเสมียนตรา สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

            ผลจากการฝึกร่วมฯ ในครั้งนี้ ทำให้มีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อ    ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑  กองทัพบกได้จัดการประชุม โดยมี พล.อ.เฉลิมชัย  สิทธิสารท     ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน ได้มีมติส่งเจ้าหน้าที่ทหารไทย  จำนวน ๑ กองร้อย ทหารช่างก่อสร้าง (ทางระดับ) ไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพในประเทศสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน  โดยให้กำลังพลที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกประเทศชาตินำสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทยไปเผยแพร่ขยายผล  เช่น โครงการพระราชดำริต่างๆ  เศรษฐกิจพอเพียง    เป็นต้น  ซึ่งทหารไทยมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี อยู่แห่งใดก็มักจะได้รับการยอมรับจากประชาคมทั่วไปอย่างดีเสมอ  นอกจากไปทำภารกิจสันติภาพแล้วก็ยังต้องช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของกองทัพบกไทยด้วย

        ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑  กรมยุทธการทหารบก มีหนังสือแจ้งว่า สหประชาชาติ (UN) ขอเพิ่มเติมอัตรากำลังพลให้ ร้อย.ช.ก่อสร้างฯ จำนวน ๕ อัตรา ในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (United Nations Mission In South Sudan: UNMISS)  จากเดิม ๒๖๘ อัตรา เป็น ๒๗๓ อัตรา โดยอัตรากำลังพลที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๕ อัตรา จัดจาก กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน ๔ อัตรา และกองทัพบก จำนวน ๑ อัตรา

        อัตราที่เพิ่มขึ้นของกองทัพบกระบุตำแหน่ง อนุศาสนาจารย์  ชั้นยศ ร้อยตรี   พันตรี

        กรมยุทธการทหารบก มีหนังสือประสานงานถึงกรมยุทธศึกษาทหารบกให้    ส่งรายละเอียดข้อมูลกำลังพลที่จะเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจ ภายใน ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑    ซึ่งเป็นงานที่ด่วนมากที่สุดในการจัดกำลังพลเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้

        กองอนุศาสนาจารย์  กรมยุทธศึกษาทหารบก ได้คัดเลือกข้าพเจ้า ร้อยเอก    สุชาติ  สมมาตร เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์  และคณะได้เรียกข้าพเจ้า เข้าไปสอบถามถึงความสมัครใจในการไปร่วมปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศเซาท์ซูดาน  ซึ่งต้องใช้ความอดทน  อดกลั้น บากบั่น พากเพียรเป็นอย่างมาก  ระยะเวลาในการปฏิบัติภารกิจยาวนาน ๑ ปี  สามารถปฏิบัติได้หรือไม่

        ข้าพเจ้าได้ยินคำถามนั้นจากคณะกรรมการ  จึงได้ตอบ ตกลง โดยยังไม่ทราบข้อมูลว่าต้องไปอย่างไร มีข้อมูลความเสี่ยงอย่างไร ไม่ได้สอบถามครอบครัวหรือใคร     มีเวลาตัดสินใจในเสี้ยวนาทีนั้น นับเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของชีวิตรับราชการทหาร

        สาเหตุที่คัดเลือกข้าพเจ้าเท่าที่จับใจความได้คือ สำเร็จการศึกษารบพิเศษมาแล้ว ผ่านการฝึกฝนมาหลายหลักสูตรแล้ว มีความอดทนอดกลั้นต่อภารกิจที่ยากลำบากได้อย่างแน่นอน และมีความรู้ความสามารถที่พร้อมกับการปฏิบัติงานต่างแดนได้ พร้อมกันนั้นยังเพิ่งจบภารกิจการฝึก Cobra Gold กับชาวต่างชาติมา น่าจะมีความเข้าใจกับการทำงานระดับนานาชาติ

ขั้นตอนการเตรียมการ

        ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑  คณะกำลังพลที่ได้อัตราเพิ่มเติม ต้องตรวจสุขภาพร่างกายครั้งใหญ่ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต้องกรอกประวัติการเจ็บป่วยของบิดาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  ต้องทำการบ้านในการกรอกข้อมูลพอสมควร ต้องตรวจเลือด ปัสสาวะ  หู คอ จมูก ปาก ทดสอบการได้ยิน ทดสอบสายตา  ทดสอบคลื่นหัวใจ และเอ็กซเรย์ร่างกาย

        ผู้ที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ทั้งอเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะต้องมีหนังสือเล่มสีเหลืองที่เป็นเสมือนใบรับประกันว่า ได้ทำการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากการเปลี่ยนพื้นที่ปฏิบัติงาน และป้องกันการเสียชีวิต  วัคซีนที่ฉีดนั้นมี ๒ ชนิด คือวัคซีนไข้เหลือง  ซึ่งต้องได้รับการฉีดก่อนเดินทางอย่างน้อย ๑๐ วัน และวัคซีนที่ทางโรงพยาบาลแนะนำ ได้แก่ วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนอหิวาตกโรค วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ บี วัคซีนป้องกันโรคไทรอยด์  วัคซีนไข้หวัดใหญ่

        ข้อแนะนำสำคัญที่สุด สมุดรับรองการฉีดวัคซีนเล่มสีเหลือง เรียกง่ายๆว่า   สมุดเล่มเหลืองโดยเรียกตามสีของมัน  ถือว่าเป็นเอกสารที่สำคัญอย่างยิ่งที่ออกให้ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation)  ขององค์กรอนามัยโลกซึ่งถือได้ว่าใช้เป็นการยืนยันว่า บุคคลที่จะเดินทางนั้นได้รับการฉีดวัคซีนไข้เหลืองแล้ว ข้อมูลการฉีดวัคซีนทั้งหมดจะถูกบันทึกโดยเจ้าหน้าที่ไว้ทั้งหมด  ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ตรงกับหนังสือเดินทาง  ซึ่งจะต้องแนบกับหนังสือเดินทางก่อนขึ้นเครื่องบิน ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด หากหายท่านจะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศในแถบแอฟริกาและกลับเข้าประเทศไทย

        สำหรับข้าพเจ้า จะเดินทางแล้วก็ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างให้ครอบครัวซึ่งต้องดูแลพ่อแม่ที่อยู่คนละจังหวัดด้วยเหตุผลของครอบครัวที่แม่ต้องเลี้ยงหลานให้เรียนหนังสือที่ลพบุรี พ่อต้องเฝ้าบ้านทำไร่ขายของอยู่กับน้องที่กำแพงเพชร ส่วนภรรยาอยู่สิงห์บุรี เตรียมตัวเดินทางหลายแห่งก็ดีเหมือนกันได้ช่วยงานบ้าน ได้ดูแลพ่อแม่ในโอกาสที่สมควร ต้องทำใจหลายเรื่องโดยเฉพาะกับครอบครัวที่ข้าพเจ้าเป็นหลักในการดูแล หลายคนก็ไม่อยากให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศหรอกเพราะมันทำให้ไกลบ้าน แต่ด้วยความเต็มใจและอยากทำงานที่เป็นระดับนานาชาติที่เป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่ของชีวิตที่จะได้มีโอกาสแบบนี้หาได้ยากมาก  ครอบครัวเป็นห่วงกลัวลำบาก กลัวเป็นอันตราย จึงไม่อยากให้เดินทางไป บางคนคิดว่าต้องไปเมืองสงครามลำบากหรือเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้  แต่ข้าพเจ้าคิดต่างกันว่า เราต้องก้าวไปให้ได้และผ่านจุดนั้นให้ได้ 

        ๒๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ อบรมภาษาอังกฤษเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง  ที่สถาบันภาษาบริชติช (British council) ณ ห้างเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ซึ่งขณะนี้ ภรรยาข้าพเจ้าตั้งครรภ์ได้ ๔ เดือนแล้วคาดว่าจะคลอดช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ก็คงไม่ได้ดูแลครอบครัวตอนลูกคลอดออกมา หรือที่เขาเรียกว่า ลูกไม่ได้เห็นหน้าพ่อนั่นแหละ นึกถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นเลย 

        ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑  รวบรวมเอกสารรับรองทายาท, หนังสือแบบแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอด, หนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับเงินช่วยเหลือพิเศษกรณีข้าราชการถึงแก่ความตาย, หนังสือเจตนาระบุตัวผู้รับเงินค้างจ่าย(เงินเดือน), หนังสือเจตนาระบุตัวผู้รับเงินค่าสินไหมทดแทนประกันชีวิต โครงการประกันชีวิตทหารแบบ “พิทักษ์พลพิเศษ”

        การทำงานกับชาวต่างชาติมีทั้งข้อดี ข้อเสียพร้อมกัน ข้อดีอาจจะได้มีหลายอย่าง ได้ทั้งเงิน ทั้งกล่อง ได้สิ่งดีที่มีให้เก็บเกี่ยวมากมาย  ข้อเสีย ไกลบ้าน อาหาร อากาศ ภูมิประเทศเราไม่คุ้นชิน ต้องระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ

        ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑  พันเอก วิสิทธิ์  วิไลวงศ์  ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์                  ได้มอบพระพุทธสิงห์ชัยมงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวาระมหามงคลครบ ๑๐๐ ปีอนุศาสนาจารย์ไทย หมายเลขพระพุทธสิงห์ชัยมงคลองค์นี้คือ ๙๙๙ ไดจัดพิธีส่งกำลังพลไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน มีข้าราชการกำลังพล พร้อมทั้งนายทหารนักเรียน หลักสูตรนายทหารอนุศาสนาจารย์ ชั้นต้น รุ่นที่ ๑๑ ร่วมพิธีส่ง ปลาบปลื้มใจน้ำตาซึมเหมือนกัน อย่างน้อยก่อนจากยังได้ไมตรีจิตที่งดงามจากพี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกัน มีใจความสำคัญจากผู้อำนวยการ ฯ ว่า

        “ให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เป็นแบบอย่างที่ดีของกำลังพล ยึดมั่นในหลักธรรม พร้อมยกโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นแนวทาง ให้ถือเกียรติยศชื่อเสียงของอนุศาสนาจารย์ไทยไปในต่างแดน ภารกิจเรียบร้อยกลับมาอย่างปลอดภัย”

           พันเอก สุรินทร์  อ้วนศรี รองผู้อำนวยการ กองอนุศาสนาจารย์ “มั่นใจ ตั้งใจ สู้ไม่ถอย คนข้างหลังยังคอย สู้ให้เต็มร้อย มีข้อมูลใดที่ต้องการให้กองอนุศาสนาจารย์จัดส่งให้แจ้งมา ทางนี้จะจัดหาส่งไปให้ ไม่ทิ้งกัน” พร้อมตบไหล่ กำมือแน่นให้หนักแน่น สู้

        พันเอก อัครินทร์  กำใจบุญ หัวหน้าแผนกอบรม “สุดยอดของเหล่าสายวิทยาการ สุดยอดของนักรบ สู้ให้สุด ๆ เป็นกำลังใจให้เสมอ แล้วเราจะกลับมาเจอกัน ร่วมงานกันอีก”

        พันโท ไชโย  นามนนท์ ให้พรเป็นบทกลอนที่ยาวมาก กินใจ จำได้ไม่หมด ขอท่านมาเขียนอีกที…

        ขออำนาจเทพไท้ พระไตรรัตน์               โปรดเป็นฉัตร คุ้มครองป้องเกศี

        ให้อาจารย์สุชาติและครอบครัว              เจริญศรี เจริญทรัพย์ เจริญชนม์

        ให้มีสุขสดใส ไร้ทุกข์โศก                      ให้ไร้โรค ไร้ภัย ในทุกหน

        มีอายุ วรรณะ ยศพล  ให้ผ่านพ้น ห่างไกลจากภัยพาล

        ให้พระธรรมยึดแน่นถึงแก่นจิต               ทำพูดคิดกว้างไกลสุดไพศาล

        มีชื่อเสียงโด่งดังอลังการ                      มหาศาลสินทรัพย์อัปมาณ์

        คิดอะไรให้ได้ดั่งใจคิด  ให้สัมฤทธิ์จิตชื่นรื่นหรรษา

        ให้มีสุขสดใสในโลกา   มีปัญญาแทงตลอดเป็นยอดคน เทอญฯ (มีต่ออีกนิด)

        ขอให้มีใจหนักแน่นดั่งภูเขา                   ขอให้งานเบาดั่งปุยนุ่น

        ขอบารมีธรรมคอยค้ำจุน                      สุดอบอุ่นตัวซูดานใจอยู่บ้าน เอยฯ

        พันโท เกรียงไกร  จันทะแจ่ม หัวหน้าแผนกวิชาการ “ให้ยึดถือหลักวิปัสสนากรรมฐานแล้วนำไปปฏิบัติ สอนกำลังพลให้มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่”

        ผู้อำนวยการ กองอนุศาสนาจารย์ พร้อมด้วยหัวหน้าแผนกอบรมพาเข้าพบ พล.ท.ณฐพนธ์  ศรีสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบกเพื่อลาไปปฏิบัติหน้าที่ ได้รับโอวาทในการทำงานว่า

        “ให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เป็นตัวแทนของกรมยุทธศึกษาทหารบก ตัวแทนของอนุศาสนาจารย์ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ปรากฏกายที่ใดให้สวมปลอกแขนสีเหลืองที่ได้รับพระราชทานจากล้นเกล้า รัชกาลที่ ๖ เสมอ ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง กำลังพลจะมีความหว้าเหว่ เหงาแน่นอน หมั่นพบปะให้กำลังใจสร้างขวัญให้เขาอย่างต่อเนื่อง ยึดมั่นในหลักการ หลักธรรมของพระพุทธองค์แล้วนำพากำลังพลให้กลับมาครบถ้วนหน้าทุกนาย” พร้อมมอบในหลวง ร.๙ ใส่กรอบให้อย่างดี

ขั้นตอนการตรวจสัมภาระ

        ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เดินทางไปรวมพลที่กองพลทหารช่าง ซึ่งเป็นหน่วยจัดกำลัง เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดแถว พิธีส่งกำลังพล รวมถึงการจัดกระเป๋าที่ต้องมีการตรวจสัมภาระอย่างละเอียดมาก  โดยเจ้าหน้าที่ UN เพียงคนเดียว ชื่อ Anna ต้องเตรียมกระเป๋าสัมภาระเพียง ๓๕ กก. แต่เอาเข้าจริงเพิ่มเป็น ๔๕ กก. เพราะต้องนำผ้าเต็นท์ ผ้าใบ และเสื้อนอนใส่ในกระเป๋าด้วย สิ่งของที่เตรียมไปนั้นจะมีของต้องห้ามลักษณะการขึ้นเครื่องบิน เช่น ของมีคม ของเหลว วัตถุไวไฟ เป็นต้น สิ่งของที่ตรวจเข้มมากที่สุด คือ สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ครีม ต้องไม่เกิน ๕ ชุด ของที่เขาห้ามใต้เครื่อง เช่น แบตเตอรี่สำรองไฟ ปัตตาเลี่ยน ถ่ายไฟฉาย ไฟแช็ค ต้องใช้เทปกาวสีดำพันให้แน่นหนาเพื่อป้องกันการชำรุดและกันการเกิดประจุไฟฟ้าที่อันอาจเกิดอันตรายต่อการเดินทางได้

พิธีส่งกำลังพลและเดินทางไปต่างแดน

        ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ วันที่ต้องออกเดินทาง มีพิธีส่งกำลังพลที่กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นพิธีที่ดูมีมนต์ขลังพอสมควร

            เวลา        ๑๔.๐๐ น.     กำลังพลทุกนายรวมพลซักซ้อมพิธีส่งกำลังพล

            เวลา        ๑๔.๓๐ น.     พิธีเจริญพระพุทธมนต์

            เวลา        ๑๕.๓๐ น.     ซักซ้อมพิธีส่งกำลังพลฯ

            เวลา        ๑๖.๓๐ น.     พิธีส่งกำลังพล

            เวลา        ๑๗.๐๐ น.     ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน

            เวลา        ๒๐.๐๐ น.     เคลื่อนย้ายกำลังพลไปสนามบินดอนเมือง

            เวลา        ๐๒.๒๐ น.     กำลังพลขึ้นเครื่องบิน สายการบินเอธิโอเปียแอร์ไลน์

        พิธีส่งกำลังพลเป็นบรรยากาศที่มีความขลัง เป็นมนต์เสน่ห์ตรึงใจให้กับกำลังพลและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ให้กำลังพลทุกนายได้เข้าพบพระ ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์รับน้ำพระพุทธมนต์แล้วเป็นพิธีส่งกำลังพล

        บางท่านก็มีครอบครัวพ่อแม่ ภรรยา ลูก มาร่วมส่งบางท่านลูกอยู่ในท้องใกล้คลอด บางท่านลูกเพิ่งคลอด ยังแบเบาะอยู่เลย  บางท่านลูกยังตัวน้อย ร้องไห้ตามพ่อ บางท่านพ่อแม่แก่มากแล้ว บางท่านภรรยาร้องไห้

        ครอบครัวของข้าพเจ้ามาส่งครบทุกคน เป็นครั้งแรกที่มากันครบขนาดนี้ อาจจะเป็นครั้งแรกที่ต้องเดินทางจากครอบครัวไปไกลที่สุดในชีวิตแล้ว จะได้กลับมาวันใดก็ยังไม่ทราบได้ แม่เตรียมอาหารมาให้ตอนแรกคิดว่านำไปไม่ได้ น้ำหนักคงจะเกินแน่นอน ถ้าไม่ให้เอาขึ้นเครื่องก็จะทานให้หมดก่อนแล้วค่อยขึ้นเครื่อง

        คนที่มาส่งข้าพเจ้า ประกอบด้วย  พ่อแม่ น้องสาว ๒ คน หลานสาว และน้องบอย  พันเอก อัครินทร์  กำใจบุญ หัวหน้าแผนกอบรม กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ครอบครัวพี่ศุภสิริ และน้องดลนภา ภรรยา และ รัอยตรี สันธนะ       บัวเจริญ น้องชายภรรยา

ประเทศสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (Republic of South Sudan)

        เดิมประเทศซูดานเป็นอาณาจักรที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของทวีปแอฟริกา        มีเมืองหลวงชื่อ คาร์ทูม มีพรมแดนติดประเทศอียิปต์ ทางทิศเหนือ  ติดประเทศเอริเทรีย และเอธิโอเปีย และติดกับพรมแดนของเคนย่า และยูกันดา รวมถึงติดพรมแดนของประเทศคองโก และสาธารณรัฐแอฟริกา กลาง ทิศตะวันตกติดกับประเทศชาด และลิเบีย เป็นประเทศที่มีความอันตรายเป็นลำดับ ๔ ของโลก

        ซูดานตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษมาอย่างยาวนาน และได้รับเอกราช เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙  หลังจากได้รับเอกราชแล้วได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายครั้ง ซึ่งเกิดแบ่งแยกดินแดนระหว่างซูดานเหนือและเซาท์ซูดาน โดยมีปัญหาเรื่องการนับถือศาสนาเป็นสำคัญ  ซูดานเหนือนับถือศาสนาอิสลาม ใช้กฏหมายชารีอะของอิสลามในการปกครอง  และจะบังคับให้เซาท์ซูดานปฏิบัติตาม  ซึ่งเซาท์ซูดานนับถือศาสนาคริสต์ จึงมีการเรียกร้องเพื่อเอกราชมายาวนานกว่า ๕๐ ปี  ความขัดแย้งเกิดขึ้นมายาวนานระหว่างชาวอิสลามตอนเหนือซึ่งเป็นชนผิวขาว และแอฟริกันผิวดำที่เป็นชาวคริสต์ทางตอนใต้ จนทำให้เกิดเป็นสงครามกลางเมืองบ่อยครั้ง

        เซาท์ซูดานได้รับเอกราชจากซูดาน เมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีประชากรประมาณ ๑๒ ล้านคน ตัวเลขนี้อาจจะคลาดเคลื่อนได้เนื่องจากไม่มีการสำรวจประชากรมานานหลายปีแล้ว  อาชีพส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นข้าวฝ่าง ข้าวสาลี ฝ้าย อ้อย ถั่ว มันสำปะหลัง มะม่วง มะละกอ กล้วยหอม มันเทศ งา ปศุสัตว์ ๙ กรกฎาคม จึงเป็นวันชาติของเซาท์ซูดาน

        ภาษาราชการคือ ภาษาอังกฤษ  ประชาชนส่วนใหญ่สามารถพูดอังกฤษได้อย่างดี มีการพูดอารบิกจูบา เป็นอีกภาษาที่ผสมใช้พูดกันในพื้นที่รอบเมืองหลวง

        ศาสนาที่ชาวเซาท์ซูดานนับถือมากที่สุดคือ ศาสนาคริสต์ นิกาย คาทอลิก (Catholic) และแองกลิคัน (Anglican) และบางชนเผ่ามีความเชื่อถือผีผสมด้วย บางกลุ่มนับถือศาสนาอิสลาม แต่หลายคนบอกว่า ยังมีความเชื่อแบบชนพื้นเมืองดั้งเดิม อาจจะเรียกว่า วิญญาณนิยม

        ทางด้านสุขภาพนั้นเคยมีรายงานเรื่องตัวชี้วัดสุขภาพว่า มีอัตราการเสียชีวิตมาก มีการรักษาสุขภาพเลวร้ายที่สุด มีโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานเพียงสามแห่ง มีบางแหล่งข่าวแจ้งว่า ๗๐% มีเชื้อเอชไอวี ข้อมูลนี้ไม่แน่ใจ แต่บางรายงานแจ้งว่า มีเชื้อนี้มากที่สุดในบรรดาสตรีพื้นเมือง

        ประเทศนี้ มีเผ่ามากมาย นับได้จำนวน ๖๔ เผ่า (tribe)  ในแต่ละเผ่าก็มีวัฒนธรรมประเพณีของเผ่าที่แตกต่างกันออกไป  บางคนบอกว่า ไม่สามารถนับจำนวนประชากรได้ครบถ้วนมากนัก เพราะในแต่ละฤดูมีการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำมาหากินกัน บางทีก็หลบหนีสงครามกลางเมือง บางรายงานแจ้งว่า มีชนเผ่ามากกว่านั้น

        ในแต่ละเมืองจะมี ๒ เผ่าที่มีกำลังในการปกครองอย่างมาก คือ เผ่านูเออร์  และ เผ่าดิงกา ที่เป็นกองกำลังหลักของประเทศ

        ในบางเผ่ามีการสืบทอดหัวหน้าเผ่าด้วยลักษณะต่าง ๆ กันไป บางเผ่ามีภรรยาเยอะมาก อาจจะนับได้ว่าหลายสิบ หลายร้อยคนก็มี ถามเขาว่า ทำไมต้องมีภรรยาเยอะ เขาต้องการขยายเผ่าพันธุ์ด้วยประชากร ถ้ามีประชากรมากก็จะขยายเผ่าได้มากขึ้นกว่าเดิม  บางทีก็มีระบบหมุนเวียนภรรยา จากภรรยาของพ่อโอนย้ายไปเป็นภรรยาของลูก ภรรยาของพี่โอนย้ายเป็นภรรยาของน้องชาย  แต่ถ้าหากมีลูกคลอดมาจะต้องนำลูกนั้นให้พ่อ  มีคนเคยบอกว่า สตรีที่นี่ค่อนข้างอันตรายเพราะว่า มีการถูกคุกคามทางเพศอยู่บ่อยครั้ง บางทีมีการฆ่าแบบล้างเผ่าพันธุ์เลย  ผู้ชายฆ่าทิ้งหมด ผู้หญิงข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งหมด เป็นระบบชนเผ่าที่เข้มแข็ง มีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมาก

        สงครามกลางเมืองมีทั้งฝ่ายรัฐบาลเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล Sudan People’s Liberation Movement (SPLM) และการขัดแย้งของชนเผ่า เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ เกิดการแย่งชิงอำนาจการปกครองระหว่างประธานาธิบดี กีร์ และอดีตผู้ช่วยของเขา คือ รีค  มาชาร์ (Riek Machar) โดยประธานาธิบดีกล่าวหา มาชาร์กับพวกว่า มีความพยายามในการขัดแย้งแย่งชิงอำนาจเตรียมการกระทำรัฐประหาร ทั้งสองฝ่ายมีผู้สนับสนุนจากกลุ่มชนเผ่า ต่อมาเป็นการสู้รบแบบชุมชนโดยมุ่งเป้าสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ดิงกาของประธานาธิบดี กีร์ และทหารรัฐบาลเผ่านูเออร์ ทหารยูกันดายังคงร่วมสู้รบร่วมกับกำลังรัฐบาลเซาท์ซูดานต่อกบฏ

        ประธานาธิบดี ชื่อ จอห์น การัง (John Garang de Mabior) ผู้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชนซูดาน (SPLA/M) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลปกครองตนเองซูดานจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘

        ต่อมา นาย ซัลวา คีร์ มายาร์ดิต มือขวาของประธานาธิบดี จอห์น การังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของเซาท์ซูดาน เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๘

        รอบเมืองก็จะมีเหตุการณ์อยู่ตลอด  เช่น การก่อจลาจล การประท้วง การปล้น จี้ ทำร้ายร่างกาย หรือลักขโมยกันอยู่ตลอด ในบางพื้นที่เป็นพื้นที่อันตรายมาก ต้องคอยฟังข่าวความเคลื่อนไหวว่าบริเวณใดบ้างที่ห้ามกำลังพล หรือชาวต่างชาติเข้าไป เพราะจักเกิดเหตุลักพาตัวแล้วก็จะมีการจับไปเป็นตัวประกันได้ 

        ถนนบางเส้นยังมีทุ่นระเบิดที่วางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบเลย ไม่มีพิกัดใด ให้ คนวางก็ตั้งใจวางเพื่อเป็นกับดักไม่ให้มีการรุกรานเข้ามา ต้องคอยเตือนกำลังพลที่ออกปฏิบัติหน้าที่ว่า ต้องระมัดระวังอย่างมาก ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด พึงสังเกตให้ดีว่า บริเวณใดมีทุ่นระเบิด  หากชาวบ้านได้พบเห็นทุ่นระเบิดก็จะทำเครื่องหมายเป็นริบบิ้น หรือเป็นพุ่มไม้กองไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ไม่ควรเข้ามาใกล้บริเวณนี้  ซึ่งจะวางไว้ห่างจากทุ่นระเบิดประมาณ ๓ – ๕ เมตร  เป็นสิ่งบอกเหตุให้ระวังตัว

        การค้าขายภายในเมือง มีชาวต่างชาติเป็นผู้นำทางการค้าขาย ไม่มีความคล่องตัวทางด้านเศรษฐกิจ ร้านค้าของชาวพื้นเมืองคือ ร้านค้าเล็กตามริมถนน ร้านใหญ่มีน้อย ผู้ชายส่วนใหญ่ไปสนับสนุนการปกครองของรัฐบาล ส่วนสตรีจะเลี้ยงลูกค้าขายตามท้องตลาดทั่วไป

        ประชาชนในเมือง Juba มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในบรรดาเมืองทั่วไป อาจจะเพราะเป็นเมืองหลวง  แต่มีความขัดแย้งกันอยู่พอสมควร บางทีบ้านเมืองที่กำลังสงบวันนี้ พรุ่งนี้รุกรามเป็นไฟ มีการก่อจลาจล มีการวางเพลิง เผาบ้าน ยึดบ้าน รถยนต์ หลายคนจึงสร้างบ้านแบบพออยู่ได้เท่านั้น กลัวโดนโจร หรือคนที่อยากยึดเข้ายึดถือครอบครอง บางทีก็ถามเขาว่า ทำไมยึดได้ แล้วแต่รัฐบาลจะบริหารอย่างไร  กฎหมายใช้ไม่ค่อยได้มากนัก

        ประชาชนไม่มีระเบียบวินัย  ขยะเกลื่อนเมือง  มองไปทั่วถนนทุกเส้นทาง ริมสองข้างทางจะเต็มไปด้วยขยะ เช่น ถุงพลาสติก ขวดพลาสติก กระป๋อง กระดาษ เป็นต้น จะได้กลิ่นการเผาตลอดเวลา หรือบางทีกลางคืนยิ่งจะหนักมาก คนทั่วไปชอบเผาขยะ เผาไม้ เผาหญ้า จะสังเกตจากหลงเหลือเถ้าถ่านเอาไว้ทั่วไป    ในแคมป์ของ UN จึงรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า แต่ถึงกระนั้นในแคมป์ก็มีขยะเพียบเช่นกัน  เรื่องขยะนี้ ต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว เพราะมันจะกลายเป็นขยะล้นเมืองจริงๆ ทุกวันจะได้กลิ่นเผาขยะพวกนี้  ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมได้  ต้องฝึกให้ประชาชนมีวินัยในการใช้ขยะ  ธุรกิจอันหนึ่งที่น่าจะเปิดทำการอย่างมากคือ ธุรกิจรับซื้อของเก่า ขยะพวกนี้จักหายไป ยิ่งขวดพลาสติกจะมีปริมาณเยอะมาก พยายามมองหาว่ามีโรงงานพวกนี้ไหม สันนิษฐานคงจะไม่มีหรอก หากมีคงมีคนเก็บขายกันทั่วแล้ว

        เดินตลาดที่เป็นพื้นดิน มักจะมีรอยน้ำเปียกเป็นทาง คนทั่วไปนิยมล้างมือ โดยนำน้ำใส่กระติก ขวด ถังน้ำมันเก่า อยากล้างมือ / เท้า ก็ล้างตรงหน้าร้านนั้นเลย บางทีจักเห็นคนเอามือล้างเท้าบ่อย ๆ เสร็จแล้วก็มาจับของขาย แหม พี่เล่นล้างมือตรงนี้เลย …เอ้าว่าไปเลยพี่… ฮ่า ๆ ๆ

        ประชาชนอัธยาศัยดี ชอบทักทาย ชอบคนต่างชาติมาก หากเดินตลาดล่างแบบแบกับดินขายจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่เหมือนตลาดนัดบ้านเราเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีที่แล้ว ปลาแห้งวางกองกับพื้นดิน ไม่รู้ว่า อันไหนก้อนเกลือ อันไหนก้อนดิน ปนกันไปหมดเลย ใจนึกอยากจะกินปลาทอด มิกล้าเสียแล้ว

        การเป็นอยู่นิยมอยู่บ้านชั้นเดียวมากกว่า สองชั้น หากเป็นบ้านหลังใหญ่มีเงินจักล้อมรั่วที่แน่นหนาอย่างมาก ปานประหนึ่งว่านี่คือพระราชวังต้องห้าม หรือมองไปเหมือนคุกคุมขังนักโทษคดีร้ายแรง

        สตรี ทุกคนตัดผมสกินเฮด มองไปทางไหน หากเห็นแต่ศรีษะ จะตอบว่า นี่คือผู้ชาย หากมองภาพรวมจึงจะทราบว่า สตรี  หากมีงานทำแล้วจักมีเงินซื้อวิกผม  ซึ่งราคาอันละ ๑,๐๐๐ ปอนด์เซาท์ซูดาน นั่งรถไปตามถนนจะเห็นผมสวยๆ นั่นคือ ผมปลอมจ้า ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ….

        สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ ท่านผู้อำนวยการ กองอนุศาสนาจารย์  รองผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์  หัวหน้าแผนกอบรม  หัวหน้าแผนกวิชาการและการศึกษา ที่ได้มอบหมายภารกิจระดับนานาชาติให้ปฏิบัติครั้งนี้ นับเป็นเกียรติประวัติของชีวิตที่ได้ทำเพื่อเหล่าสายวิทยาการ กองทัพบก และประเทศชาติรวมถึงญาติพี่น้องเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูล ขอบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ในโอกาสที่เป็นบุคคลในห้วงครบ ๑๐๐ ปี อนุศาสนาจารย์

        ขอมอบคุณงามความดีที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ให้กับเหล่าสายวิทยาการ กองทัพบก ประเทศชาติ ครอบครัวตลอดไป  ภารกิจยังไม่จบยังเหลืออีกครึ่งทาง ต้องอดทนพยายามต่อไป


[1] อนุศาสนาจารย์ กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ผลัดที่ ๑ กองกำลังรักษาสันติภาพ (Thai Horizontal Military Engineer Company (Thai HMEC))