๑. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้บังคับหน่วย
ก. อนุศาสนาจารย์ในฐานะฝ่ายอำนวยการพิเศษของผู้บังคับหน่วยจะต้องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้บังคับหน่วย เพื่อเสนอแนะในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจน ข้อปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจของกำลังพล และในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา อนุศาสนาจารย์จะต้องรับทราบแนวนโยบายของผู้บังคับบัญชา ตลอดจนคำชี้แจงต่างๆ ที่เอื้ออำนวยในการปฏิบัติหน้าที่ แล้วนำไปดำเนินการจนเกิดผลดีต่อหน่วยและกำลังพลของหน่วยต่อไป
ข. รส. ๑๐๑-๔ ได้กำหนดถึงความสัมพันธ์ของอนุศาสนาจารย์ ในฐานะฝ่ายอำนวยการต่อผู้บังคับหน่วยรองในลักษณะ ดังนี้
“ หากปรากฏพบว่า คำสั่งของผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดอนุศาสนาจารย์จะช่วยประสาน เสริมความเข้าใจแก่ผู้บังคับหน่วยรอง หรือฝ่ายอำนวยการของผู้บังคับบัญชา ในลักษณะให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้บังคับหน่วยรอง เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในความต้องการของผู้บังคับหน่วยเหนือ ”
๒. ความสัมพันธ์กับฝ่ายอำนวยการ
หน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ ในฐานะที่เป็นฝ่ายอำนวยการพิเศษ จะต้องปรึกษาหารือกับฝ่ายอำนวยการอื่นๆ เพื่อรับทราบข้อมูลทางเทคนิค ข่าวสาร และแนวทางปฏิบัติที่ได้วางไว้ ตลอดจนหาแนวทางให้ข้อคิดทางด้านศาสนา ความรู้สึกรับผิดชอบ และขวัญกำลังใจ ด้วยสัมพันธภาพฉันท์มิตร โดยจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายอำนวยการอื่น
๓. ความสัมพันธ์กับกำลังพลของหน่วย
ก.อนุศาสนาจารย์ จะต้องอยู่ในฐานะที่กำลังพลทุกระดับ เข้าพบปะปรึกษาหารือขอรับคำแนะนำได้โดยง่าย โดยคงฐานะความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ, การยอมรับฟังข้อคิดเห็น, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, ความสงบเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคง และเป็นที่ยอมรับของกำลังพลในด้านความเสียสละ, ความซื่อสัตย์, ความอดทน
ข. อนุศาสนาจารย์ จะต้องหมั่นออกพบปะกำลังพลอยู่เสมอ ณ สถานที่ต่างๆ เช่น โรงเลี้ยง,โรงนอน, ห้องฝึกฝน, ห้องพักผ่อน, พื้นที่ดำเนินการยุทธ ทั้งในยามปกติ และยามสงคราม
๔. ความสัมพันธ์กับครอบครัวของกำลังพล
อนุศาสนาจารย์ จะต้องหมั่นเยี่ยมเยียนครอบครัวของกำลังพลเพื่อให้การดูแลและให้คำปรึกษาหารือ, ส่งเสริมให้เข้าร่วมกิจกรรมทางด้านศาสนาวัฒนธรรมประเพณี และช่วยแก้ปัญหาทางด้านจิตใจ
๕. ความสัมพันธ์ระหว่างอนุศาสนาจารย์ด้วยกันเอง
ความสัมพันธ์ของอนุศาสนาจารย์ระหว่างกันและกัน จะต้องอยู่บนพื้นฐานในความเข้าใจซึ่งกันและกัน, มีความเคารพกัน, อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และปฏิบัติพิธีต่างๆ อันก่อให้เกิดขวัญกำลังใจแก่กำลังพลและครอบครัว ตามความเหมาะสมแห่งความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ คือ
ก. ความสัมพันธ์ในฐานะผู้ร่วมสายวิทยาการเดียวกัน จึงต้องมีความเคารพกันตามลำดับอาวุโส เชื่อฟังและปฏิบัติตามระเบียบต่างๆ ที่สายวิทยาการกำหนดขึ้นเหมือนๆ กัน
ข. ความสัมพันธ์ในฐานะผู้มีจรรยาบรรณเดียวกัน ต้องประพฤติตนอยู่ในจรรยาบรรณของอนุศาสนาจารย์อย่างเคร่งครัด ไม่ประพฤติตนให้เป็นที่รังเกียจของหมู่คณะ
ค. ความสัมพันธ์ในฐานะผู้มีบทบาทในการพัฒนาจิตรวมทั้งขวัญ กำลังใจของกำลังพลเช่นเดียวกัน จึงต้องมีความหนักแน่นในด้านความรู้เกี่ยวกับศาสนาวัฒนธรรมประเพณี และปฏิบัติพิธีการต่างๆ ได้อย่างถูกต้องเช่นเดียวกัน
แบบธรรมเนียมทางสังคม
เป็นความจำเป็นที่อนุศาสนาจารย์จะต้องเรียนรู้แบบธรรมเนียมต่างๆ ของสังคมและปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะแบบธรรมเนียมเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับวินัยและขวัญกำลังใจของกำลังพลเป็นอย่างมาก อาทิ การแสดงความเคารพ, ความอ่อนน้อม, การให้เกียรติกันและกัน อนุศาสนาจารย์ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับศาสนาวัฒนธรรมประเพณีทั้งในสังคมทหาร, สังคมใกล้เคียงหน่วยทหารและสังคมทั่วไป จึงต้องเรียนรู้และปฏิบัติให้ถูกต้อง จนเป็นที่ยอมรับในฐานะที่เป็นทหารที่ดีของกองทัพ และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
ความสำคัญในฐานะพุทธมามกะ
๑. สถานภาพอนุศาสนาจารย์ในกองทัพ
ในกองทัพ อนุศาสนาจารย์จะเป็นผู้แทนของพระพุทธศาสนาที่มีความเชื่อมั่นในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติต่อหลักคำสอนนั้นๆ รวมทั้งสามารถปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ ได้อย่างถูกต้องทั้งในศาสนสถานประจำหน่วย, สถานที่ที่กำหนดให้มีการจัดพิธีเป็นการเฉพาะกิจ และตามเคหสถานของกำลังพลและครอบครัว
๒. การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพุทธมามกะ
กองทัพบกได้กำหนดให้อนุศาสนาจารย์เป็นเจ้าหน้าที่หลักในพิธีการต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น อนุศาสนาจารย์ จึงต้องเสนอแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องให้กำลังพลทราบ และรวบรวมขึ้นเพื่อใช้ในกองทัพ อนุศาสนาจารย์จะต้องนำกำลังพลให้มีความใกล้ชิดและแนบแน่นกับพระพุทธศาสนา ด้วยการสอนอบรมหรือจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ, การประกอบพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา, การพัฒนาวัด เป็นต้น
๓. กิจกรรมทางด้านพิธีกรรมทางศาสนา
ก. เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีต่อกองทัพ อนุศาสนาจารย์ควรเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับด้านจริยธรรม, วัฒนธรรมและประเพณีที่วัดหรือองค์กรการกุศลต่างๆ จัดขึ้น และรวบรวมแนวทางที่ได้จากการประชุมนั้นมาปฏิบัติในหน่วยเพื่อประโยชน์แก่กำลังพลต่อไป
ข. เพื่อรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคงต่อภารกิจความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนา และ ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจให้มากขึ้น อนุศาสนาจารย์จึงต้องหมั่นเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกับวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะสม โดยขออนุญาตจากผู้บังคับหน่วยเป็นคราวๆ ไป
ค. เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางศาสนา อนุศาสนาจารย์จะต้องหาโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับ อนุศาสนาจารย์ต่างเหล่าทัพและอนุศาสนาจารย์ของศาสนาอื่นด้วย แต่การเข้าร่วมกิจกรรมนั้นต้องไม่ละเมิดกฎแห่งการรักษาความปลอดภัย และความลับของทางราชการ
ความสัมพันธ์กับชุมชน
๑. ความสัมพันธ์กับชุมชนและบุคคลที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ
อนุศาสนาจารย์ ควรขออนุญาตผู้บังคับหน่วย เพื่อพบปะกับผู้แทนทุกศาสนา และผู้นำชุมชนต่างๆ ในละแวกใกล้เคียง ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินงานทางศาสนาของหน่วยประสบความสำเร็จ และยังช่วยให้การพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชนเป็นไปอย่างดียิ่งอีกด้วย
ชุมชนดังกล่าว เช่น
ก. องค์การทหารผ่านศึกหรือทหารกองหนุน
ข. สมาคมผู้ปกครอง, สมาคมทางด้านวิชาชีพ, สมาคมทางด้านเกษตรอุตสาหกรรม
ค. หน่วยงานสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์
ง. องค์การศาสนา, องค์การกุศลสาธารณะ เช่น พุทธสมาคม, สภายุวพุทธิกสมาคม, สมาคมทางด้านการสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น
๒. สาธารณสถาน
การใช้สื่อในการสัมพันธ์กับชุมชนได้อย่างเหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งชุมชนและกองทัพเอง อนุศาสนาจารย์จึงควรส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งอยู่ในความสนใจของชุมชนนั้นๆ เช่น การจัดนิทรรศการในวันสำคัญทางศาสนา หรือของชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประชาสัมพันธ์งานของกองทัพและของหน่วย เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์และความเข้าใจที่ดีต่อกันเป็นส่วนรวม