บทที่ ๙ ตำนานอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ

          อนุศาสนาจารย์ทหารเรือเริ่มก่อกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๖๗ ในสมัย พล.ร.อ.สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการกระทรวงทหารเรือ มีประวัติความเป็นมาดังนี้

จุดเริ่มความคิดที่จะมีอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ

          เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ พล.ร.อ. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา (ชาวทหารเรือเรียกพระนามเป็นการภายในว่า “ทูลกระหม่อม อัษฎางค์”) ขณะทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกระทรวงทหารเรือ ได้เสด็จเมืองสิงคโปร์และปีนังเป็นทางราชการ โดยเรือหลวงพระที่นั่งจักรี ในขบวนเสด็จมีทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนและข้าราชบริพารในพระองค์ ในจำนวนข้าราชบริพารที่ตามเสด็จนั้นมี นายวงศ์ เชาวนะกวี ด้วยผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงรับสั่งให้ตามเสด็จอย่างใกล้ชิด นายวงศ์ เชาวนะกวี ผู้นี้เคยบวชเป็นเปรียญ มีความรอบรู้ทางศาสนากว้างขวางและสามารถพูดภาษามลายูใช้การได้

          ในระหว่างเดินทางค้างแรมอยู่ในเรือพระที่นั่งนั้น ทูลกระหม่อมฯ จะทรงหาโอกาสช่วงเวลาที่ว่างจากราชการและภารกิจอื่น รับสั่งให้นายวงศ์ เชาวนะกวี แสดงธรรมให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเรือ ทั้งทหารและพลเรือนฟังเป็นประจำ และพระองค์ก็จะประทับฟังอยู่ด้วย ทั้งทรงพระเมตตาให้จัดของสมนาคุณซึ่งเปรียบเสมือนกัณฑ์เทศน์ประทานทุกครั้งที่มีการแสดงธรรม นายวงศ์ เชาวนะกวี ก็ทำหน้าที่ด้วยความสามารถแสดงธรรมเป็นที่นิยมชมชอบของที่ประชุมทุกคราว สำหรับทูลกระหม่อมฯ ก็ทรงเบิกบานและพอพระทัยในลีลาการแสดงธรรมมาก จึงทรงโปรดปราน นายวงศ์ เชาวนะกวี เป็นพิเศษ

          จากความเบิกบานพระทัยในพระธรรมที่ทรงได้รับในระหว่างประทับค้างแรมอยู่ในเรือพระที่นั่งในน่านทะเลนี่เอง ทำให้ทรงคิดถึงทหารเรือขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทะเลหลวงว่า ในยามที่ว่างจากภารกิจประจำวัน หากไม่มีอะไรเป็นที่เพลิดเพลินหรือเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจแล้ว คงจะเหงาหงอยไม่น้อย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำกับฟ้า ในยามเช่นนั้น หากจะได้มีผู้รู้ทางศาสนามาพูดคุยอะไรให้ฟังเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาหรือเป็นข้อคิดสะกิดใจก็คงจะคลายความเหงาหงอยลงได้ และคงจะแก้ปัญหาอื่นๆ ได้อีกมาก ครั้นแล้วก็ทรงเก็บความนึกคิดเช่นนั้นไว้ในพระทัย

          ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ในการประชุมปรึกษาข้อราชการของกระทรวงทหารเรือคราวหนึ่งซึ่งทูลกระหม่อมฯ ทรงเป็นประธานที่ประชุม หลังจากได้ปรึกษาข้อราชการอื่น ๆ กันแล้ว ในตอนสุดท้ายทูลกระหม่อมฯ  ได้ทรงยกเรื่องอนุศาสนาจารย์ขึ้นหารือในที่ประชุมว่า ทหารบกได้จัดให้มีอนุศาสนาจารย์ประจำกองทัพเพื่ออบรมจิตใจและบำรุงขวัญทหารมาหลายปีแล้ว แต่ทหารเรือยังไม่มี ควรจะได้จัดให้มีขึ้นบ้าง เพื่อจะได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนทหารให้ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมจรรยา เพิ่มพูนขวัญและกำลังใจให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังจะได้ช่วยปฏิบัติพิธีต่าง ๆ ทางศาสนาด้วย หากจะจัดให้มีอนุศาสนาจารย์ขึ้นได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่กองทัพมิใช่น้อย ที่ประชุมกระทรวงทหารเรือในคราวนั้นล้วนประกอบด้วยนายทหารผู้ใหญ่ อาทิ

                    พล.ร.ต.  พระยาปรีชาชลยุทธ              ผู้บัญชาการทหารเรือ

                    พล.ร.ต.  พระยาราชวังสัน                  เสนาธิการทหารเรือ

                    พล.ร.ต.  พระยาศรยุทธเสนี                เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ

                    พล.ร.ต.  พระยาฤทธิรุทธคำรณ            เจ้ากรมอู่ทหารเรือ

                    พล.ร.ต.  พระยาหาญหลวงสมุทร          เจ้ากรมชุมพลทหารเรือ

นอกจากนี้ยังมีนายทหารผู้ใหญ่อื่นอีกหลายท่านได้ปรึกษาหารือกัน แล้วในที่สุดตกลงว่า กองทัพเรือควรมีอนุศาสนาจารย์ได้ ครั้นแล้วประธานที่ประชุมคือทูลกระหม่อมฯ จึงทรงหารือต่อไปว่า เมื่อที่ประชุมตกลงรับหลักการในเรื่องนี้แล้ว ก็ควรจะพิจารณาเลือกเฟ้นหาผู้สามารถที่จะมาเป็นอนุศาสนาจารย์ต่อไป พล.ร.ต.พระยาราชวังสัน เสนาธิการทหารเรือ ได้เสนอชื่อ นายวงศ์ เชาวนะกวี ต่อที่ประชุมทันที ที่ประชุมเห็นชอบตามชื่อที่เสนาธิการทหารเรือเสนอเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีผู้ใดอภิปราย เพราะทุกท่านในที่ประชุมนั้นทราบกิตติศัพท์ความสามารถของ นายวงศ์ เชาวนะกวี ดีอยู่แล้ว

          เมื่อเลิกประชุมทูลกระหม่อมฯ ก็เสด็จกลับพระตำหนักวังสวนกุหลาบ หลังเสด็จกลับได้ไม่นานก็ได้มีรับสั่งให้หาตัวนายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าเฝ้า ครั้นนายวงศ์ฯ เข้าเฝ้าแล้วทรงรับสั่งว่า “นี่ นายวงศ์ฯ เขาจะเอาแกเป็นอนุศาสนาจารย์ละนะ แกจะเอาไหม แกจะเป็นได้ไหม” นายวงศ์ฯ พอได้ฟังรับสั่งเช่นนั้น ก็ได้ทูลตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า เรื่องนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอนำไปคิดดูก่อนว่า จะมีความสามารถเป็นอนุศาสนาจารย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุว่างานอนุศาสนาจารย์เป็นงานละเอียดอ่อนต้องใช้สติปัญญามาก     ทั้งความรู้ความสามารถของข้าพเจ้าก็ยังมีน้อย เกรงว่าจะรับสนองงานนี้ได้ไม่สมความมุ่งหมายของทางราชการ ครั้นแล้วทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงรับสั่งว่า “เอ้า ถ้าอย่างนั้น       แกลองนำเรื่องนี้ไปคิดดูก่อน”

          ชั่วเวลาไม่นาน นายวงศ์ เชาวนะกวี ก็ตกลงใจว่าจะลองใช้ความสามารถดู จึงได้เข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบถึงความตกลงใจที่จะรับเป็นอนุศาสนาจารย์ได้ เมื่อทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงทราบความตกลงใจเช่นนั้น ก็ทรงพอพระทัยและรับสั่งว่า      “ถ้าอย่างนั้น แกกลับไปร่างโครงการเอามาให้ดูอีกทีว่าควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” หลังจากนั้น นายวงศ์ฯ ก็ได้ร่างโครงการอนุศาสนาจารย์พร้อมทั้งแผนปฏิบัติงาน        ทูลเสนอเพื่อทรงพิจารณา เมื่อได้ทอดพระเนตรร่างนั้นแล้วก็ทรงเห็นชอบ ได้ทรงบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่า “ให้ใช้ตามนี้” และลงพระนามว่า “อัษฎางค์”

เริ่มกิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือครั้งแรก

          เมื่อกระทรวงทหารเรือ เห็นชอบในร่างโครงการอนุศาสนาจารย์ตามที่นายวงศ์ เชาวนะกวี เสนอนั้นแล้วก็ได้มีคำสั่งให้นายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าทดลองปฏิบัติราชการอยู่ก่อน ๑๕ วัน โดยให้นั่งทำงานอยู่ที่กระทรวงทหารเรือเป็นครั้งแรก กระทรวงทหารเรือในครั้งนั้น ตั้งอยู่ระหว่างกรมอู่ทหารเรือและราชนาวิกสภาในปัจจุบัน ระหว่าง ๑๕ วันที่ทดลองปฏิบัติราชการอยู่นั้น พล.ร.ต.พระยาปรีชาชลยุทธ ผู้บัญชาการทหารเรือให้อ่าน ข.ทร.(ข้อบังคับทหารเรือ) เมื่อนายวงศ์ เชาวนะกวี ทดลองปฏิบัติราชการครบ ๑๕ วันแล้ว จึงมีคำสั่งบรรจุเป็นอนุศาสนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยให้ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๕๐ บาท จึงเป็นอันถือได้ว่าอนุศาสนาจารย์ทหารเรือได้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ อันเป็นวันที่กระทรวงทหารเรือมีคำสั่งบรรจุ นายวงศ์ เชาวนะกวี เป็นอนุศาสนาจารย์ นั่นเอง

          การเรียกขานชื่ออนุศาสนาจารย์ในสมัยนั้น ทางราชการกำหนดให้เรียก “มหา” นำหน้าชื่อตามภูมิความรู้ที่เปรียญ ไม่ใช้ “นาย” นำหน้าชื่อเหมือนข้าราชการพลเรือนอื่น แม้ในการลงนามในหนังสือราชการอนุศาสนาจารย์ก็ต้องใช้ “มหา”นำหน้าชื่อเช่นเดียวกัน การใช้ “มหา” นำหน้าชื่ออนุศาสนาจารย์เพิ่งมาเลิกใช้เมื่อตอนที่อนุศาสนาจารย์เปลี่ยนสภาพจากข้าราชการพลเรือนมาเป็นข้าราชการทหาร โดยใช้ ยศ นำหน้าชื่อแทนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ นี่เอง แต่กระนั้นผู้ที่เคยเรียก “มหา”นำหน้าชื่ออนุศาสนาจารย์จนเคยชินแล้ว ก็คงเรียกอนุศาสนาจารย์ว่า “มหา” ติดปากอยู่นั่นเอง

ฐานะอนุศาสนาจารย์ในระยะเริ่มต้น

          กิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในระยะเริ่มต้น มีฐานะเป็นเพียง “อนุศาสนาจารย์” สังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการทหารเรือ ยังไม่ได้ยกฐานะขึ้นเป็นแผนกหรือเป็นกองอย่างในปัจจุบัน และมีอนุศาสนาจารย์เพียงคนเดียวคือ มหาวงศ์ เชาวนะกวี ด้วยปรีชาสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือคนแรก ความนิยมเลื่อมใสในกิจการอนุศาสนาจารย์ได้แพร่หลายไปในหมู่ทหารเรืออย่างรวดเร็ว        มีหน่วยต่างๆ ร้องขอรับบริการจากอนุศาสนาจารย์มากขึ้น อนุศาสนาจารย์คนเดียวจึงมีงานล้นมือ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๙-๒๔๗๙ กองทัพเรือได้บรรจุอนุศาสนาจารย์เพิ่มให้อีก ๒ นาย จึงรวมเป็นมีอนุศาสนาจารย์ในช่วงนั้น ๓ นาย โดยมี รองอำมาตย์ตรี มหาวงศ์ เชาวนะกวี เป็นหัวหน้าอนุศาสนาจารย์

ยกฐานะอนุศาสนาจารย์ขึ้นเป็นแผนกอนุศาสนาจารย์

          ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงจัดส่วนราชการในกองทัพขึ้นใหม่ โดยเฉพาะกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งได้เคยตั้งขึ้นและได้มีคำสั่งยุบเลิกไปเมื่อ  พ.ศ. ๒๔๖๙ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศทรุดโทรมหนัก รัฐบาลได้ตัดงบประมาณลง ได้กลับรื้อฟื้นตั้งขึ้นมาใหม่และได้โอนกิจการส่วนอนุศาสนาจารย์  ซึ่งสังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการทหารเรือ ไปขึ้นสังกัดอยู่ในกรมยุทธศึกษาทหารเรือ กับได้ยกฐานะขึ้นเป็นแผนกเรียกว่า “แผนกอนุศาสนาจารย์” และได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้  รองอำมาตย์โท มหาวงศ์ เชาวนะกวี เป็นหัวหน้าแผนก

          เมื่ออนุศาสนาจารย์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นแผนกและได้ย้ายสังกัดจากกรมเสนาธิการทหารเรือไปขึ้นอยู่ในกรมยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว ก็ได้ย้ายที่ทำงานไปอยู่ที่ตึกบวรวิไชยชาญ อันเป็นที่ตั้งของกรมยุทธศึกษาทหารเรือในสมัยนั้น ตึกบวรวิไชยชาญ ตั้งอยู่ในพระราชวังเดิม เนื่องจากเป็นตึกเก่าแก่ครั้งกรุงธนบุรีและชำรุดทรุดโทรมมาก   ไม่สามารถจะซ่อมบำรุงได้ ทางราชการจึงได้รื้อแล้วสร้างตึกกรมยุทธศึกษาทหารเรือขึ้นแทน

          กิจการอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงแรกนี้ เจริญก้าวหน้าขึ้น มีการขยายงานกว้างขึ้นตามหน่วยที่ขยายออกไป ในช่วงระยะนี้มีเรื่องเกี่ยวข้องกับอนุศาสนาจารย์ที่ควรจะบันทึกไว้ในประวัติด้วยก็คือ ทางสำนักงานเลขานุการในพระองค์ได้ขอโอนตัว รองอำมาตย์โท มหาวงศ์ เชาวนะกวี หัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ไปรับราชการ         ณ สำนักราชเลขานุการในพระองค์ ขาดจากตำแหน่งและอัตราเงินเดือนทางกองทัพเรือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ เมื่อหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์โอนไปแล้ว กองทัพเรือได้แต่งตั้งให้ รองอำมาตย์ตรี มหาเสงี่ยม สุทธิสานนท์ เป็นหัวหน้าแผนกสืบต่อไป และได้บรรจุอนุศาสนาจารย์ใหม่แทนให้ ๑ นาย จำนวนอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงแรกก็คงมี ๓ นายตามเดิม

          ต่อมากิจการอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงหลังได้ขยายมากขึ้น ตามความเจริญของกองทัพที่พัฒนาออกไป เมื่อหน่วยขยายออกไป ภารกิจของอนุศาสนาจารย์ก็ต้องขยายตาม อนุศาสนาจารย์นอกจากจะปฏิบัติงานในหน้าที่อันเป็นภารกิจโดยตรงแล้ว ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูสอนวิชาศีลธรรมและวิชาภาษาไทยในโรงเรียนต่างๆ ของกองทัพเรือด้วย เช่นโรงเรียนเตรียมนายเรือ โรงเรียนนายเรือง โรงเรียนพันจ่า โรงเรียนจ่าพยาบาลเป็นต้น เมื่องานมีมากแต่อนุศาสนาจารย์มีน้อยงานจึงล้นมือ ทางราชการเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีอนุศาสนาเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๒ กองทัพเรือจึงได้บรรจุอนุศาสนาจารย์เพิ่มให้อีก ๔ นาย จึงรวมเป็นมีอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงหลัง ๗ นาย

ยกฐานะแผนกอนุศาสนาจารย์เป็นกองอนุศาสนาจารย์

          ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงส่วนราชการในกรมยุทธศึกษาทหารเรือใหม่ โดยยกฐานะหน่วยบางหน่วยให้สูงขึ้นตามลักษณะของปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น แผนกอนุศาสนาจารย์ เป็นหน่วยหนึ่งที่ได้รับการยกฐานะจากแผนกขึ้นเป็นกองเรียกว่า “กองอนุศาสนาจารย์” (คำสั่งกองทัพเรือที่ ๖๑/๒๔๙๖) และในขณะเดียวกันได้แต่งตั้งให้ รองอำมาตย์ตรี มหาเสงี่ยม สุทธิสานนท์ เป็นหัวหน้ากอง

          กองอนุศาสนาจารย์ ซึ่งได้รับการยกฐานะจากแผนกขึ้นเป็นกองนั้น มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามที่ระบุไว้ในระเบียบกรมยุทธศึกษาทหารเรือที่ ๕๑ ว่าด้วยหน้าที่กองบังคับการกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ข้อ ๑๓ ดังนี้

          ข้อ ๑๓ กองอนุศาสนาจารย์ มีหัวหน้ากองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการศาสนาและอบรมธรรม แบ่งงานออกเป็น ๓ แผนก คือ

          ๑๓.๑ แผนกวิจัย

          ๑๓.๒ แผนกอบรมธรรม

          ๑๓.๓ แผนกพิธี

          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงหน่วยงานภายในกองทัพเรือใหม่อีกครั้ง โดยกำหนดหน้าที่และความรับผิดขอบของหน่วยต่าง ๆ เป็น “อัตราเฉพาะกิจ” (คำสั่งกองทัพเรือที่ ๗๕/๒๕๑๗) ในอัตราเฉพาะกิจของกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้ระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของกองอนุศาสนาจารย์ไว้ในข้อ ๔.๕ ดังนี้

          ๔.๕ กองอนุศาสนาจารย์ มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับกิจการอนุศาสนาจารย์ของกองทัพเรืออบรมและสอนศีลธรรม วัฒนธรรม แก่ทหารและบุคคลในกองทัพเรือ รวมทั้งการดำเนินการพิธีศาสนา ในปัจจุบันได้แบ่งงานออกเป็น๔ แผนกคือ

          ๔.๕.๑ แผนกวิชาการ

          ๔.๕.๒ แผนกอบรมศีลธรรม

          ๔.๕.๓ แผนกศาสนพิธี

          ๔.๕.๔ แผนกจิตนิเทศ

          ในการปรับปรุงกำหนดอัตราเฉพาะกิจครั้งนี้ ได้กำหนดหน้าที่กองอนุศาสนาจารย์กว้างขึ้น และเปลี่ยนชื่อแผนกวิจัยเป็นแผนกวิชาการ แผนกอบรมธรรมเป็นแผนกอบรมศีลธรรม แผนกพิธีเป็นแผนกศาสนพิธี อัตราเฉพาะกิจดังกล่าวนี้ให้เป็นหลักดำเนินกิจการอนุศาสนาจารย์

          กองอนุศาสนาจารย์ในระยะหลังนี้ มีงานกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก กว้างขึ้นทั้งงานอันเป็นหน้าที่โดยตรงภายในกองทัพ และงานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพ งานในกองทัพนั้น มีหน่วยที่จะต้องให้การอบรมขยายเพิ่มขึ้น ทั้งหน่วยในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค งานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพนั้น ได้มีหน่วยราชการ สถานศึกษา สมาคม และวัดวาอาราม ได้ขอความสนับสนุนจากกองทัพเรือ โดยขออนุศาสนาจารย์ไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ทางศาสนาแก่ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานต่าง ๆ มากขึ้น กองอนุศาสนาจารย์ก็ให้ความสนับสนุนบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมในด้านนี้ตลอดมา ด้วยเหตุที่กองอนุศาสนาจารย์มีภารกิจและปริมาณงานมากขึ้น กองทัพเรือจึงได้บรรจุอนุศาสนาจารย์เพิ่มให้ตามความจำเป็นเรื่อยมา ในปัจจุบันกองอนุศาสนาจารย์มีกำลังพลอนุศาสนาจารย์ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลางจำนวน ๘ นาย ในส่วนภูมิภาคจำนวน ๑๘ นาย รวมเป็น ๒๖ นาย

การส่งอนุศาสนาจารย์ไปประจำหน่วยภูมิภาค

          หน่วยราชการของกองทัพเรือได้ขยายออกไปตั้งประจำอยู่ในภูมิภาคหลายหน่วย หน้าที่และอุดมการณ์ของอนุศาสนาจารย์คือ ทหารไปอยู่ถึงไหน อนุศาสนาจารย์ต้องไปถึงนั่น ดังนั้นหากหน่วยใดไปตั้งประจำอยู่ในภูมิภาคเป็นการถาวรแล้ว และหน่วยนั้นมีกำลังพลมากพอสมควร กองอนุศาสนาจารย์ก็จะประสานงานกับหน่วย ดำเนินการตั้งอัตราอนุศาสนาจารย์ประจำหน่วยขึ้น แล้วส่งอนุศาสนาจารย์ไปอยู่ประจำเพื่อจะได้มีโอกาสอยู่กับทหารอย่างใกล้ชิด

การส่งอนุศาสนาจารย์ไปปฏิบัติราชการสนาม

          ในปัจจุบันหน่วยของกองทัพเรือ มีทั้งหน่วยเฉพาะกิจและหน่วยประจำ ได้ออกไปตั้งปฏิบัติงานเพื่อความมั่นคงของชาติอยู่ในภูมิภาคในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีหน่วยปฏิบัติตามลำน้ำโขง (นปข.) ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเลย หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี ในภาคใต้มีทั้งหน่วยเฉพาะกิจและหน่วยประจำ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา พังงา นราธิวาส หน่วยต่างๆ เหล่านี้ บางหน่วยปฏิบัติงานอยู่ในเขตพื้นที่ทุรกันดารและเสี่ยงภัย ทหารที่อยู่ประจำหน่วยต้องมีขวัญดีและกำลังใจเข้มแข็ง กองอนุศาสนาจารย์มีหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมขวัญและกำลังใจทหาร จึงได้จัดส่งอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนออกไปอบรมจิตใจและเยี่ยมบำรุงขวัญทหารเป็นประจำ โดยไปร่วมกินร่วมนอนพักแรมอยู่กับหน่วยเหล่านั้นเช่นเดียวกับทหารทั้งหลาย ซึ่งได้เริ่มปฏิบัติงานนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๙

การพัฒนากิจการอนุศาสนาจารย์

          การทำงานของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในปัจจุบัน เราทำงานร่วมกันโดยถือหลักทิฏฐิสามัญญตา กล่าวคือได้มีการประชุมอนุศาสนาจารย์ ทั้งอนุศาสนาจารย์ส่วนกลางและอนุศาสนาจารย์ส่วนภูมิภาคเป็นประจำ เพื่อปรึกษาหารือกิจการอนุศาสนาจารย์ร่วมกัน หากมีสิ่งใดบกพร่องที่ควรจะแก้ไข ก็ร่วมกันพิจารณาแก้ไข หากมีสิ่งใดที่ควรจะจัดทำและยังมิได้จัดทำ ก็เสนอแนะให้จัดทำหรือร่วมกันจัดทำ อนุศาสนาจารย์ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็นที่จะพัฒนากิจการอนุศาสนาจารย์ได้โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นอนุศาสนาจารย์ผู้ใหญ่หรือผู้น้อย หากมีความเห็นต่างกัน เราก็ถือเสียงข้างมากเป็นหลักในการดำเนินงาน โดยนัยนี้กิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ จึงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเข้มแข็ง

อายุอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ

          กองทัพเรือเริ่มมีอนุศาสนาจารย์ประจำกองทัพเรือมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๗ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาได้ ๙๕ ปี ถ้าเป็นอายุคนก็เรียกว่าย่างเข้าสู่วัยชรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลัง ความคล่องแคล่วว่องไว หรือความสามารถในการงาน ล้วนมีแต่ละลดน้อยถอยลง แต่อายุของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือหาเป็นเช่นนั้นไม่วัย ๙๕ ปีของเรากำลังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ กิจการอนุศาสนาจารย์ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นภารกิจ วิชาการ หรือการบริการแก่หน่วยในกองทัพ ล้วนกำลังก้าวหน้าเข้มแข็ง แม้เราจะมีกำลังพลน้อย แต่เราก็ทำงานกันด้วยวิญญาณอนุศาสนาจารย์อย่างแท้จริง

ทำเนียบหัวหน้า/ผู้อำนวยการ กองอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ

          นับตั้งแค่มีอนุศาสนาจารย์ในกองทัพเรือเป็นต้นมา มีหัวหน้าอนุศาสนาจารย์ เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบกิจการอนุศาสนาจารย์สืบต่อกันมาจวบปัจจุบัน จำนวน ๑๘ ท่าน มีรายนามตามลำดับดังนี้

ทำเนียบ หัวหน้า/ผอ.กอศ.