บทที่ ๑๓ ตำนานอนุศาสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ

         เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ สมัยคณะรัฐบาลโดยมีท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้พิจารณาเห็นว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายในด้านประชาชนนั้น เป็นความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมานานแล้ว และประชาชนในทวีปเอเชียก็นับถือเป็นส่วนมาก ทั้งเป็นศาสนาที่สมควรได้รับการยกย่องส่งเสริมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นอยู่ ณ บัดนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังหาได้เป็นไปตามทางที่ควรดังกล่าวนั้นไม่ แม้ว่าพระสงฆ์มีหน้าที่เผยแผ่อยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในกรอบแห่งสมณะสารูปและตามสมณะวิสัย  การที่จะเผยแผ่ให้แพร่หลายโดยรวดเร็วทั่วทิศทาง และให้ได้ผลตามความประสงค์นั้น สมควรใช้อนุศาสนาจารย์ช่วยดำเนินการประสานงานทางฝ่ายฆราวาสและช่วยเหลือคณะสงฆ์ ให้การเผยแผ่กว้างขวางออกไป กล่าวคือคณะสงฆ์ทำการเผยแผ่ตามกิจวัตรและตามสมณะวิสัย อนุศาสนาจารย์ทำการเผยแผ่ตามกำหนดหน้าที่และวิธีการที่จะพึงทำได้สะดวกแก่คฤหัสถ์ด้วยกัน

          จึงมอบนโยบายนี้ให้กรมการศาสนาพิจารณาหาทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้อนุศาสนาจารย์เป็นผู้ดำเนินการอีกทางหนึ่ง กรมการศาสนาจึงได้ประชุมเจ้าหน้าที่หารือกันจัดวางโครงการดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตลอดจนวางอัตรากำลังและกำหนดเจ้าหน้าที่ในการนี้พร้อมด้วยหลักการเผยแผ่โดยเรียบร้อย    แต่ยังไม่สำเร็จผล เพราะไม่มีงบประมาณ

          ต่อมาในปี ๒๔๘๖ ได้ติดต่อขอยืมอนุศาสนาจารย์จากกรมยุทธศึกษาทหารบก กระทรวงกลาโหม  มาดำเนินการไปพลางก่อน ๓ นาย คือ

          ๑. นายโปร่ง  พีรคัม

          ๒. นายแย้ม  ประพัฒน์ทอง

          ๓. นายแปลก  สนธิรักษ์

          โดยให้เขียนบทความรู้เกี่ยวกับจริยศึกษาบรรยายทางวิทยุกระจายเสียงเดือนละครั้ง  และส่งออกไปเผยแผ่ตามส่วนภูมิภาค เท่ากำลังที่มีและที่ทำได้ ปรากฏผลเป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชนและนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง ตามรายงานของครู อาจารย์โรงเรียนต่างๆ และของคณะกรรมการจังหวัดที่รายงานมาให้กรมการศาสนาทราบ  ทั้งนี้ก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า งานเผยแผ่นี้สำคัญและจำเป็นเพียงไร  ถ้าจะขยายให้กว้างกว่านี้ก็จะเกิดผลไพศาลตามนโยบาย แต่ได้จัดทำไปได้ไม่เท่าไร ก็ต้องระงับอีก เพราะกระทรวงกลาโหมได้เรียกอนุศาสนาจารย์กลับคืนไปใช้ในราชการสนาม ๒ นาย คือ นายโปร่ง พีรคัม และ นายแย้ม  ประพัฒน์ทอง คงเหลืออยู่เพียงคนเดียว คือ นายแปลก สนธิรักษ์  ก็ทำไปตามกำลังเท่าที่จะทำได้ ตลอดปี ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ไม่ได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามโครงการ

          ในปี พ.ศ.๒๔๘๗ จึงได้งบประมาณมา งานนี้จึงจัดแบ่งส่วนราชการตามพระราชกฤษฎีกา ตั้งแผนกอนุศาสนาจารย์ อยู่ในสำนักงานเลขานุการกรมการศาสนา ซึ่งมีอัตราดังนี้ หัวหน้าแผนก ๑ ประจำแผนก ๔  เสมียน ๑ รวม ๖ อัตรา  ได้ปฏิบัติงานด้านการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมแก่ประชาชนและนักเรียนตลอดมาเท่ากำลังที่มีอยู่

          ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ กรมการศาสนาได้ดำเนินการติดต่อกับ ก.พ. ขอแบ่งส่วนราชการในกรมการศาสนา โดยขอให้ยกแผนกอนุศาสนาจารย์ขึ้นเป็นกอง ทาง ก.พ. อนุมัติให้ตั้งเป็นกองอนุศาสน์ แต่ไม่แบ่งแยกเป็นแผนกต่างๆ ดังที่เสนอไป คือให้มีหัวหน้ากอง และจะขอตั้งอนุศาสนาจารย์ โท ตรี และเสมียน เป็นอันว่ากองอนุศาสน์มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเพียง ๕ คนเท่านั้น  ไม่เพียงพอแก่งานที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติให้กว้างขวางต่อไปอีก

          ครั้นต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๑ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม กรมการศาสนาได้รับโอนข้าราชการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ มาดำรงตำแหน่งใน       กองอนุศาสน์ ดังนี้ หัวหน้ากอง ๑ อนุศาสนาจารย์โท ๒รวมกับข้าราชการที่มีอยู่แล้ว รวม ๘ อัตรา แต่ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอทั่วถึงสำหรับที่จะออกปฏิบัติงานให้ได้ผลตามนโยบายของรัฐบาล  ดังนั้น งานอบรมจำต้องทำกันไปเท่ากำลังที่พอจะทำได้ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

๑. งานในหน้าที่ของกองอนุศาสน์

          เนื่องจากกองอนุศาสน์ เป็นกองวิชาการ ที่นับว่าสำคัญมากของกรมการศาสนา เพราะมีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา และเผยแผ่กิจกรรมการพระศาสนา อบรมศีลธรรม จรรยา มารยาท วัฒนธรรม แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอบรมศีลธรรม วัฒนธรรม มารยาทในการสังคมแก่เยาวชนชายหญิงของชาติ ตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ให้นักเรียนมีความประพฤติดีงาม เพื่อเป็นพลเมืองดีของประเทศไทยในอนาคต  สมตามนโยบายการศึกษาของรัฐที่แถลงไว้ แต่กองนี้มิได้ตั้งเป็นแผนกๆ โดยถือว่า เป็นกองนโยบายในหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งนโยบายของงานจำเป็นต้องผันแปรตามนโยบายของรัฐและเหตุการณ์ที่จะต้องปฏิบัติเฉพาะหน้า ทั้งๆ ที่หน้าที่ต่างๆ อาจแบ่งเป็นแผนกได้ อนุศาสนาจารย์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกองก็ร่วมกันรับผิดชอบทุกคน มากน้อยตามตำแหน่งชั้นและอาวุโส โดยการปฏิบัติงานของกองนี้  ส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติเป็นทีมเวิร์ค  มีหัวหน้ากองเป็นผู้บังคับบัญชา มีอนุศาสนาจารย์โทเป็นเสมือนหัวหน้าแผนกและผู้ช่วยหัวหน้ากอง ประกอบด้วยอนุศาสนาจารย์ ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญในการสั่งสอนอบรมศีลธรรม  ทุกคนเป็นผู้ร่วมกันปฏิบัติ งานในหน้าที่ของกองอนุศาสน์จำแนกได้ดังนี้

          (๑) ปฏิบัติราชการตามนโยบายของกรมการศาสนา

                    ก. เชิดชูทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาสำคัญประจำชาติไทย

                    ข. ปลูกฝังอบรมประชาชนชาวไทย  ให้มีจิตยึดมั่นในหลักธรรมแห่งพุทธศาสนา

                    ค. เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แผ่ไพศาล

                    ฆ. จะอาศัยการศาสนา อบรมประชาชนให้มีศีลธรรมอันดีงาม

                    ง. จะคุ้มครองป้องกัน และรักษาเสถียรภาพของพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ด้วยดี

          (๒) งานห้องสมุดการศาสนา มีหน้าที่เก็บรวบรวมสรรพหนังสือที่เกี่ยวด้วยการศาสนาทั่วไป

ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ กองอนุศาสน์จัดพิมพ์และที่กรมหาได้มาเก็บไว้เป็นส่วนสัด เพื่อสะดวกแก่การค้นคว้าและจัดหาทุนพิมพ์หนังสือเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโอกาสอันสมควร เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา เป็นต้น แจกจ่ายประชาชนและห้องสมุดทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีหน้าที่ให้คำชี้แจงแนะนำข้อข้องใจเกี่ยวกับพระศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม แก่นักศึกษาและประชาชนที่มาติดต่อขอความเข้าใจทุกกรณี และมีหน้าที่สร้างรวบรวมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ทางพระศาสนาและวัฒนธรรมของกรมการศาสนาไว้เพื่อเผยแผ่ด้วย ตามกำลังงบประมาณและความจำเป็น

          (๓) งานค้นคว้าและเรียบเรียงหนังสือศาสนา มีหน้าที่ค้นคว้าในด้านพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรม ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา คันถี และคัมภีร์สัททศาสตร์ต่างๆ ทั้งฉบับบาลีฉบับไทย และฉบับต่างประเทศ เพื่อให้ได้หลักฐานทางธรรมะและเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอนถูกต้อง ใช้เป็นแนวในการอบรมสั่งสอนของกอง และแก้ข้อข้องใจของประชาชนที่มักสอบถามมาเสมอๆ ผลของการค้นคว้าที่ได้ ก็เรียบเรียงขึ้นเป็นตำราบ้าง เป็นบทความบ้าง เพื่อกองเก็บไว้เป็นสมบัติของราชการและพิมพ์เผยแผ่ในโอกาสอันควร

          (๔) งานเผยแผ่ทางวิทยุกระจายเสียง มีหน้าที่เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียง มีหน้าที่เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษา กรมประชาสัมพันธ์ จัดรายการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษาธิการเป็นประจำ และประจำวันพระร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งต้องจัดกันเป็นเดือนๆ ทุกเดือน ประจำมาหลายปีแล้ว และมีหน้าที่เรียบเรียงบทความเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรม ศีลธรรม ไปบรรยายทางวิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ตามวาระเป็นประจำทุกเดือน จัดหาเรื่องที่เป็นของดีของไทย ในด้านศาสนาไปอภิปรายทางวิทยุกระจายเสียงของกระทรวงศึกษาธิการ ในรายการของดีของเมืองไทย เป็นประจำทุกเดือนเช่นกัน และจัดบทความไปบรรยายในรายการธรรมรักษา ณ สถานีวิทยุศึกษา เป็นประจำทุกเดือน ในบางโอกาสก็จัดแสดงละครเผยแผ่ศีลธรรมทางวิทยุแห่งประเทศไทย ตามบทที่จัดเรียบเรียงขึ้นจากเค้าเรื่องในคัมภีร์ชาดก พร้อมทั้งเลือกสรรและประพันธ์บทวิทยุสุภาษิตานุสรณ์ที่เห็นว่า เป็นคติเหมาะแก่เหตุการณ์ส่งไปบรรยายทางวิยุกระจายเสียงเป็นคราวๆ ไปด้วย

          (๕) งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาติ โดยปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ร่วมมือกับองค์การเผยแผ่ ทำการอบรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ คือมีหน้าที่วางแนวและวิธีการ พร้อมทั้งปฏิบัติเองด้วยในการอบรมศีลธรรมจรรยาแก่นักเรียน ตามโรงเรียนต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในโรงเรียนราษฎร์และโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนอาชีวะ ทั่วพระราชอาณาจักร โดยพยายามใช้หลักในการอบรม ให้เหมาะแก่กาละภาวะเหตุการณ์ของนักเรียนเป็นคราวๆ งานนี้ต้องทำประจำตลอดทั้งปีในสมัยการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ โดยหัวหน้ากองได้จัดแบ่งแยกอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามท้องถิ่นต่างๆ วันละหลายๆ โรงเรียน นับเป็นงานที่หนักมากทั้งในด้านกำลังสมองและกำลังกาย เพราะต้องตระเวนไปตามโรงเรียนต่างๆ ให้ครบตามกำหนดที่วางไว้เป็นตารางประจำวัน งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาตินี้ มีจุดประสงค์ คือ   

                    ก. อบรมให้มีความเข้าใจและศรัทธาซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา

                    ข. ให้รู้จักหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

                    ค. ให้รู้จักหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนและปฏิบัติตามหลักธรรมในพระศาสนา

                    ฆ. ให้รู้จักหน้าที่ของพลเมือง ตั้งอยู่ในศีลธรรม วัฒนธรรม

                    ง. ให้รู้จักรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักเกียรติ รักอิสรภาพ และพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อชาติ

                    จ. ให้รู้จักประพฤติตนเป็นพุทธมามกะ

          (๖) งานเผยแผ่ความรู้  มีหน้าที่ออกไปแสดงปาฐกถาเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ในที่ชุมนุมชน สมาคมและสโมสรทั่วไปที่ขอร้องและเชิญมา งานนี้สัมพันธ์อยู่กับงานค้นคว้าเรียบเรียงและงานห้องสมุดดังกล่าวแล้วข้างต้น ในการออกไปเผยแผ่นี้ ถ้าสมควรก็นำภาพยนตร์เรื่องพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ออกไปฉายประกอบด้วย แม้ในที่บางแห่งเช่นในต่างประเทศเป็นต้น ที่ไม่สามารถจะไปได้ เนื่องด้วยไม่มีงบประมาณ เมื่อได้รับคำร้องขอ ก็จัดส่งบทความและภาพยนตร์ออกไปเผยแผ่เหมือนกัน เช่น ส่งบทความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาของไทยในประเทศพม่า ส่งเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ให้ประเทศญี่ปุ่น และส่งภาพยนตร์เรื่องพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ไปฉายที่สิงคโปร์ เป็นต้น

          (๗) งานอุปกรณ์แก่ราชการกองต่างๆ มีหน้าที่ช่วยราชการฉุกเฉินและที่สำคัญๆ ของกองต่างๆ ทั้งในด้านธุรการและวิชาการ เช่น จัดอนุศาสนาจารย์ช่วยกองสังฆการีทำหน้าที่ปฏิบัติพระสงฆ์ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธีสำคัญๆ ซึ่งต้องใช้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติมากเป็นพิเศษ  ช่วยประพันธ์คำร้อยกรองและคำประกาศในพิธีการต่างๆ ให้กรม และช่วยเป็นธุระในด้านจัดพิมพ์หนังสือ หรือสารคดีในหน้าที่ของกรมด้วยเป็นต้น  นอกจากนี้งานในด้านวิชาการต่างๆ ที่กรมการศาสนารับภาระมาจากกระทรวง หรือจากกรม กองอื่น ก็ตกเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยเหลือให้งานนั้นลุล่วงไปด้วยดี  แล้วแต่ท่านอธิบดีจะมอบหมายมา และกองได้จัดพิมพ์หนังสือมิ่งมงคล วัดสำคัญ ส่วนกลางส่วนภูมิภาค แจกตามห้องสมุดและหน่วยราชการต่างๆ ตลอดจนนักเรียน พระภิกษุ สมาคม

          (๘) งานพิเศษ  กองอนุศาสน์ ได้ช่วยงานต่างๆ หลายอย่างเช่น งานวันเด็กแห่งชาติ มีการจัดรวบรวมและพิมพ์หนังสือนำทัศนาจรวัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อจำหน่ายในงานวันเด็กแห่งชาติ รับหน้าที่จัดประกวดเรียงความส่งเสริมศีลธรรมสำหรับนักเรียนในงานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มด้วยเขียนระเบียบการประกวด ประกาศ ตรวจและตัดสิน ตลอดจนจัดรางวัล ติดต่อนักเรียนที่ได้รับรางวัลให้มารับรางวัลในงานวันเด็กแห่งชาติ

          (๙) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ให้การอบรมอาจารย์ใหญ่ ครูใหญ่ ผู้ช่วยทั่วราชอาณาจักร หัวหน้าแผนก หัวหน้ากองทั้งหมดของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการเผยแผ่ศีลธรรม วัฒนธรรม มนุษยสัมพันธ์

๒. ปริมาณและคุณภาพของงาน

          กองอนุศาสน์มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติอยู่ทั้งหมดเพียง ๘ คน เท่านั้น เป็นหัวหน้ากอง ผู้บังคับบัญชา ๑ เป็นเสมียนพนักงาน ๑ นอกนี้อีก ๖ คน เป็นอนุศาสนาจารย์ ซึ่งเป็นหัวแรงอันสำคัญของกองอนุศาสนาจารย์ทั้ง ๖ นี้ ดำรงตำแหน่งอนุศาสนาจารย์โท ๓ อีก ๓ เป็นอนุศาสนาจารย์ตรี แม้มีอัตรากำลังเพียงเท่านี้ ก็มีปริมาณงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้วมาก โดยสมรรถภาพและมีคุณภาพอย่างยิ่งจริงๆ

          ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมการศาสนาใหม่เป็น ๗ กอง ได้เปลี่ยนจากกองอนุศาสน์ เป็นกองจริยศึกษา มี ๒ แผนก

          ๑. แผนกศาสนาจารย์

          ๒. แผนกส่งเสริมและเผยแพร่จริยศึกษา

          ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ได้มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๗ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ให้โอนกองวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มาสังกัดในกรมการศาสนา ทำให้กรมการศาสนาแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๘ กอง กองจริยศึกษามี ๒ แผนก คงเดิม

          ในปี ๒๕๑๖ คณะกรรมการปรับปรุงหน่วยราชการของคณะปฏิวัติได้ให้ความเห็นชอบให้กรมการศาสนา แบ่งส่วนราชการในกองและในสำนักงานออกเป็นฝ่ายต่างๆ ตามลักษณะงานที่เป็นฝ่ายวิชาการหรือการจัดดำเนินการที่มิใช่งานบริหารทั่วไป เป็น ๕ กอง ๓ สำนักงาน โดยยุบกองจริยศึกษา เป็นฝ่ายจริยศึกษา  อยู่ในกองศาสนศึกษา

          ต่อมาในปี ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอตั้งสำนักงานสภาเผยแพร่ศาสนาและศีลธรรม  ไปยังคณะที่ปรึกษาระเบียบบริหารของนายกรัฐมนตรี ในสมัย นายธานินทร์ กรับวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี พลโท บุญเรือน บัวจรูญ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า การจัดตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ ไม่อาจแก้ปัญหาได้ ควรปรับปรุงงานที่มีอยู่แล้วในกรมการศาสนาซึ่งปฏิบัติอยู่แล้วนั้นให้มีฐานะสูงขึ้นระดับกองได้ คือ ขอให้ยกฐานะฝ่ายจริยศึกษา ซึ่งอยู่ในกองศาสนศึกษา ขึ้นเป็นกองจริยศึกษาในปีงบประมาณ ๒๕๒๑ ต่อไป

          ในปี ๒๕๒๒ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วย ที่ยกฐานะฝ่ายจริยศึกษาขึ้นเป็นกองจริยศึกษาโดยมีอัตรากำลังดังนี้ กองจริยศึกษา แบ่งงานออกเป็น ๔ ฝ่าย

          ๑. ฝ่ายธุรการ

          ๒. ฝ่ายอนุศาสนาจารย์

          ๓. ฝ่ายส่งเสริมเผยแพร่จริยธรรม

          ๔. ฝ่ายจริยานิเทศ

          ในปัจจุบันนี้ งานอนุศาสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ถูกยุบภารกิจไป ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งหน่วยงานเป็น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม  โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เคยเป็นอนุศาสนาจารย์ ได้ถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มส่งเสริมวิชาการพระพุทธศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมทั้งมีภารกิจใหม่ที่ไม่ใช่งานของอนุศาสนาจารย์